: : : รายละเอียดข่าว : : :

ข่าว ปีที่ :ข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 09 ประจำเดือน 09 2547
หัวข้อข่าว : วัฒนธรรมการกินหมาก
รายละเอียด :
         หมากเป็นพืชในวงศ์ PALMAE มีแพร่หลายในทวีปเอเชียเขตร้อน  เช่น  อินเดีย  พม่า  ไทย  เขมร  ลาว  จีนใต้  
และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก  สำหรับในประเทศไทยมีหมากในภาคใต้  โดยเฉพาะจังหวัดชุมพร  สุราษฎร์ธานี  นครศรีธรรมราช  
พัทลุง  และนราธิวาส
         ใช่ว่าวัฒนธรรมการกินหมากจะมีอยู่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น  หากแต่การกินหมากมีแพร่หลายในอินเดียมา
ไม่น้อยกว่า 2,000/หลักฐานของกลุ่มคนยุโรป  ในเอกสารของมาร์โคโปโล  ซึ่งอยู่ในช่วงสมัยสุโขทัย  เขียนไว้ว่า  ผู้คน
ส่วนใหญ่ต่างกินหมากพลูวาสโกดากามา  กล่าวถึงคนอาหรับที่เอาหมากไปจากอินเดียว่า  คนอินเดียสมัยนั้นจะมีหมาก
อยู่ในมือและกินหมากกันในหมู่เพื่อนฝูง  ตามความเชื่อของชาวฮินดู  เชื่อว่าพระพิฆเนศแปรงร่างเป็นผลหมาก  หมาก
จึงเป็นพืชผลของพระเจ้า  ในพิธีกรรมต่างๆ ของพราหมณ์จึงขาดหมากไม่ได้
         ศาสนาฮินดู  เชื่อกันว่าหมากเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์  คนอินเดียจึงนิยมใช้หมากในการบูชาเทพยดาและ
พระผู้เป็นเจ้าแม้แต่ในปัจจุบันคนอินเดียก็ยังคงมีวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับการกินหมากอยู่  เช่นในพิธีแต่งงานครอบครัวของ
เจ้าสาวจะต้องส่งหมากไปให้ครอบครัวของเจ้าบ่าว  แขกเหรื่อที่มาในงานก็มีความสนุกสนานกับการกินหมาก  เมื่อขบวน
ของเจ้าสาวเดินทางไปถึงบ้านเจ้าบ่าว  ก็จะต้องแจกจ่ายหมากแก่สมาชิกครอบครัวของเจ้าบ่าวและไม่ควรลืมที่จะให้
เจ้าบ่าวด้วยในพิธีเลี้ยงเดียวกันนี้ก็จะเริ่มพิธีด้วยการกินหมากและสูบบุหรี่
         นอกจากอินเดียแล้วก็ยังมีชาติอื่นๆ ที่กินหมาก  เช่น  เนปาล  ศรีลังกา  บังคลาเทศ  ปากีสถาน  ต่างก็มีวัฒนธรรม
การกินหมากที่แตกต่างกัน
         สำหรับชาวเอเชียตะวันออกแล้วมีชาวไต้หวันและชาวจีนตอนใต้บางส่วนเท่านั้นที่กินหมาก  แต่ทุกวันนี้มีการกินหมาก
น้อยลง  เมื่อเทียบกับชาวอินเดียที่ยังคงวัฒนธรรมการกินหมากไว้ค่อนข้างเหนียวแน่น
         กลุ่มประเทศใกล้บ้านเรา  เช่น  เขมร  ลาว  เวียดนาม  ก็ยังกินหมากกันอยู่  โดยเฉพาะพม่าชอบเคี้ยวหมากมาเป็นเวลา
ช้านาน  คนพม่ามีข้อห้ามไม่ให้กินชานหมากของผู้หญิงถือว่าจะทำให้ยากจนลง  แต่ผิดกับคนไทยในวรรณคดีเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน  
ก็มีการขอชานหมากจากคู่รักถือว่าเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่ง
         มากล่าวถึง  หมากในแถบบ้านเราอย่างคนมาเลเซียเรียกหมากว่า  “ปีนัง”  หรือ  “ปีนังซีรี”  คนมาเลย์น่าจะรับวัฒนธรรม
การกินหมากมาจากอินเดีย  เข้าใจว่ามากับพิธีกรรมและศาสนาไม่ต้องสงสัยเลยว่า  คำว่าเกาะปีนังว่านั้นคนไทยในสมัยปู่เรียกว่า
“เกาะหมาก” ซึ่งเต็มไปด้วยหมาก
         พิธีแต่งงานของชาวมาเลย์จะต้องมีการเตรียมขันหมากเช่นเดียวกับชาวไทย  การนำหมากพลูเข้าไปร่วมในขบวนแต่งงาน
ถือว่าเป็นการเชื่อมสันถวไมตรี
         คนชวาก็นิยมกินหมากกันมาจนถึงปัจจุบันและเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เสด็จประพาสชวา  
พระองค์ได้บันทึกว่า “มีหมากดิบอ่อนๆ ผ่าทั้งเปลือก  ฝานบางๆ ใส่ไว้ในไส้พลู  สำหรับหมากในเมืองไทย  น่าจะได้รับการ
ถ่ายทอดวัฒนธรรมมาจากกพราหมณ์ในศิลาจารึก  หลักที่ 1  ซึ่งเป็นหลักของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช  ด้านที่ 1  ได้กล่าวถึง  
“หมากว่าป่าหมากป่าพลูพ่อเชื้อมันไว้แก่ลูกมันสิ้น”
         ด้านที่ 2  จารึกว่า “สร้างป่าหมากพลูทั่วเมืองนี้ทุกแห่งมีป่าหมาก  ป่าพลู  มีไร่  มีนา  มีถิ่นตาน”  สมัยอยุธยา  
หมากยังเป็นสื่อรักของท้าวศรีสุดาจันทร์ได้ให้นางข้าหลวงเอาหมากห่อผ้าไปให้พันบุตรศรีเทพ  จนทั้งสองได้รักกัน  ในสมัย
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช  หมากเป็นพืชเศรษฐกิจ  ที่ทำรายได้ถึงปีละ 75,000 เหรียญ  คิดเป็นเงินไทยสมัยนั้นก็ถือว่า
มากโข
         พิธีกรรมต่าง  ๆ  ของไทยปัจจุบันก็ยังมีหมากเป็นส่วนประกอบ  เช่น  พิธีทำขวัญเด็ก  จะใช้หมากพลู 3 คำ  พิธีอุปสมบท
ผู้บวชจะต้องเตรียมเครื่องสักการะเป็นการแสดงความเคารพต่อพระอุปชฌาอาจารย์  และจะต้องมีหมากอยู่ด้วย
         ในพิธีขันหมากแต่งงานแบบไทย  ๆ  ก็ไม่ขาดหมาก  ในพิธีวางศิลาฤกษ์  เครื่องสังเวยบูชาฤกษ์ก็มีหมากวางรวมอยู่  
กระทั่งพิธีศพก็จะเตรียมหมากพลูไว้หนึ่งคำเมื่อเวลาทำตราสังข์เสร็จแล้ว  จึงนำกรวยหมากมาสอดไว้ในมือผู้ตายเพื่อจะได้นำไป
สักการะพระจุฬามณีเจดียสถานในชั้นดาวดึงส์แม้ว่าหลายสิบปีมานี้  การกินหมากของคนไทยลดน้อยลงจะพบเห็นได้ก็แต่ผู้เฒ่า
ผู้แก่ในชนบท  คนรุ่นใหม่ๆ บางกลุ่มเท่านั้น
         เหตุผลบางประการที่พอจะวิเคราะห์ๆได้ว่าคนไทยนิยมกินหมากน้อยลง  ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม  
นายกรัฐมนตรี  เมื่อหลายสิบปีก่อนได้ประกาศห้ามไม่ให้มีการกินหมากและค้าขายหมาก  ด้วยเห็นว่าการบ้วนน้ำหมากในราชการ
จะทำให้พื้นสกปรก  และการมีฟันดำทำให้ดูไม่ดี  เป็นการมองและทำตามความนิยมแบบชาวตะวันตกที่มีฟันขาวเพราะ
ไม่กินหมาก
         อย่าไรก็ตามหมากก็ยังคงมีความสำคัญกับวิถีชีวิตของคนไทยและวัฒนธรรมไทยอยู่นับแต่เกิดจนกระทั่งตาย
 
                                                ***********************************


โดย : * [ วันที่ ]