รายละเอียด :
|
คณะศิลปกรรมศาสตร์ วิทยาเขตปัตตานี จัดพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์ไทย เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยมีอาจารย์ไพฑูรย์ เข้มแข็ง จากวิทยาลัย
นาฏศิลป์ กรุงเทพฯ ทำหน้าที่เป็นครูผู้ใหญ่
การไหว้ครู ถือเป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณกาล เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเรียนทางด้านนาฏศิลป์และดนตรีจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการประกอบพิธีไหว้ครู อันเป็น
พิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่และมีพิธีรีตองกว่าการไหว้ครูทางหนังสือ ทั้งนี้เพราะบรรดาศิลปินทางโขนละครนั้นมีความเชื่อ
และนับถือกันว่า ศิลปวิทยาการทางนาฏศิลป์และดนตรีมีกำเนิดมาจากเทพเจ้าและได้ถ่ายทอดมาสู่ยังโลกมนุษย์
โดยผ่านครูอาจารย์ตามลำดับจนถึงปัจจุบัน
พิธีการไหว้ครูทางนาฏศิลป์และดนตรีไทย หรือที่เรียกกันในหมู่ศิลปินว่า พิธีไหว้ครูโขนละคร นั้นจะกระทำ
พิธีได้เฉพาะวันพฤหัสบดีเท่านั้น เพราะนับถือกันว่าวันพฤหัสบดีเป็นวันครู เดือนที่นิยมประกอบพิธีตามโบราณ กำหนด
ให้ประกอบพิธีในเดือนคู่ เช่น 2, 4, 6, 8, 10 และเดือน 12 ส่วนเดือนคี่นั้นอนุโลกให้ทำพิธีในเดือน 9 เพราะไทยเรา
ถือว่าเลข 9 เป็นเลขมงคลของไทย ในบางครั้งโบราณยังนิยมว่าต้องระบุทางจันทรคติอีกด้วยคือ จะต้องพิจารณาว่า
ข้างขึ้นหรือข้างแรก หากเป็นวันพฤหัสบดีข้างขึ้นก็นับว่าเป็นมงคลยิ่ง โดยถือว่าเป็นวันฟู ข้างแรมเป็นวันจม ฉะนั้น
การประกอบพิธีจึงนิยมวันข้างขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นวันฟู อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองนั่นเอง
การไหว้ครูทางนาฏศิลป์และดนตรีไทยนั้น มักกระทำเป็น 2 ระบบคือ
1. พิธีไหว้ครูเมื่อเริ่มต้นเรียน
2. พิธีไหว้ครูประจำปี
พิธีไหว้ครูเมื่อเริ่มเรียน
พิธีนี้เป็นพิธีเล็ก ๆ ผู้เรียนจะต้องนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปมอบต่อครูผู้สอนในวันพฤหัสบดี เพื่อเป็นเครื่องแสดง
ว่ายอมเคารพเชื่อฟังและปฏิบัติตามต่อครูผู้สอน และครูผู้สอนจะกล่าวคำบูชาครูโดยให้ผู้เรียนว่าตาม แล้วครูก็จับมือหัดรำ
ให้พอเป็นพิธี จากนั้นจึงจะเริ่มต้นหัดเรียนกันเรื่อย ๆ ไป
พิธีไหว้ครูประจำปี
พิธีไหว้ครูประจำปีถือเป็นพิธีใหญ่ โดยกำหนดให้ประกอบพิธีในวันพฤหัสบดี การไหว้ครูประจำปีจะต้องมีการตระเตรียม
หลายสิ่งหลายอย่าง เช่น สถานที่ ศีรษะพระครู ศีรษะเทพเจ้าทั้งหลาย วงดนตรีไทยที่ใช้บรรเลงประกอบพิธี เครื่องเซ่น
สังเวยทั้งดิบและสุก ตลอดจนอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้พิธีไหว้ครูประจำปีสมบูรณ์ที่สุด ในการนี้ก่อนวันไหว้ครูบรรดา
ศิษย์เก่าและใหม่จะมาร่วมกันจัดและตกแต่งบริเวณปริมณฑลพิธี โดยมีครูผู้ใหญ่ (พิธีกร) ดูแลความเรียบร้อย อาทิ
การจัดวางศีรษะเทพเจ้า หัวโขนชนิดต่าง ๆ ที่เราใช้แสดงกัน ตลอดจนอุปกรณ์ในการแสดงโขนละครมาตั้งบน
โต๊ะบูชาครู ครั้นจัดอุปกรณ์และสถานที่เสร็จเรียบร้อยแล้วรุ่งขึ้นจะเริ่มทำพิธีไหว้ครู ซึ่งพิธีนี้หากผู้ที่เป็นศิษย์ยังไม่ได้
เข้าพิธีไหว้ครูจะถือว่าศิษย์ผู้นั้นจะยังไม่สมบูรณ์ และบรรดาครูอาจารย์จะไม่กล้าสอนเพลงหน้าพาทย์สูง ๆ ตลอดจน
ท่ารำชั้นสูงให้แก่ศิษย์ โดยถือว่าหากสอนให้แล้วอาจเป็นผลร้ายแก่ตัวครูเองและแก่ศิษย์ด้วย ดังนั้นในวงการนาฏศิลป์
และดนตรีไทยจึงมีความเคารถและเชื่อมั่นในพิธีไหว้ครูประจำปีเป็นอย่างมาก ในขณะที่พิธีเริ่มขึ้นจะมีครูผู้ใหญ่ (พิธีกร)
นุ่งขาวห่มขาว เป็นผู้ทำพิธีกล่าวอัญเชิญเทพเจ้าแห่งศิลปะและอัญเชิญครูอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้วมารับเครื่องสังเวย
บูชาที่จัดเตรียมไว้ พร้อมกันนี้จะมีวงดนตรีไทยบรรเลงประกอบเป็นระยะ ๆ ด้วย และพิธีอัญเชิญนี้จะต้องกระทำ
ให้เสร็จภายในเที่ยงวัน ต่อจากนั้นจึงเป็นพิธีครอบ ซึ่งถือว่าเป็นพิธีสำคัญอีกพิธีหนึ่งซึ่งจะได้กล่าวต่อไป
พิธีครอบหรือการครอบนี้จะกระทำกันในพิธีไหว้ครูประจำปีเท่านั้น โดยครูจะกระทำให้แก่ศิษย์ซึ่งสมควร
จะเป็นครูสอนศิษย์ต่อไป โดยจะกระทำให้เป็นราย ๆ ไป โดยมีเหตุผล 3 ประการคือ
1. ครอบให้แก่ศิษย์ผู้ต้องการเรียนหน้าพาทย์ชั้นสูง
2. ครอบให้แก่ศิษย์ผู้ที่จะต้องเป็นครูสอนผู้อื่นต่อไป
3. ครอบให้แก่ศิษย์อาวุโส เพื่อมอบฉันทะให้เป็นผู้อ่านโองการและทำพิธีไหว้ครูต่อไป
การครอบทั้ง 3 ประการนี้ ผู้เป็นศิษย์จะต้องเตรียมดอกไม้ ธูปเทียน ขันขนาดเล็ก เงินค่าคำนลบูชาครู
และผ้าขาว นำมามอบให้ครูผู้ใหญ่ที่จะเป็นผู้ทำพิธีครอบ เมื่อครูผู้ใหญ่รับสิ่งของเหล่านั้นแล้ว ครูผู้ประกอบพิธีจะนำเอา
ศีรษะพระภรตฤษี ศีรษะพระพิราพ ชฎา เทริด ฯลฯ ที่รวมเรียกกันว่า ศีรษะครู สวมครอบลงไปบนศีรษะศิษย์
ทีละคน พร้อมทั้งว่าคาถาและประพรมน้ำมนต์ เจิมหน้าผาก และสวมด้วยมงคล
เมื่อศิษย์ทั้งหลายที่ได้ผ่านการครอบประการที่ 1 แล้วก็จะบังเกิดความเชื่อมั่นในการที่จะเรียนเพลงหน้าพาทย์
ชั้นสูง เพราะเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง ๆ เหล่านั้นจะบรรเลงตก ๆ หล่น ๆ หรือหลงลืมไม่ได้เป็นอันขาด ยิ่งเป็นเพลง
องค์พระพิราพด้วยแล้ว ยิ่งต้องระมัดระวังมาก หากบรรเลงไม่ครบถ้วนกระบวนเพลงแล้ว ถือว่าจะเกิดอัปมงคลกับ
ตนเอง ทางด้านนาฏศิลป์ก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะท่ารำองค์พระพิราพจะต้องกระทำกันด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
หากกระทำไม่ถูกต้องอาจเกิดผลร้ายเช่นกันที่เรียกว่า ผิดครู หรือ แรงครู ก็ได้
สำหรับการครอบในประการที่ 2 คือ ศิษย์ต้องครอบเพื่อเป็นครูผู้อื่นต่อไปนั้น ศิษย์จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้
ในหลักการทางดนตรีและนาฏศิลป์พอสมควร ต้องประกอบด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ ตลอดจนความประพฤติที่ครูไว้วางใจ
ได้ และเมื่อครอบแล้วครูผู้ครอบจะอบรมสั่งสอนให้ประพฤติตนให้เป็นที่เคารพแก่ศิษย์ทั้งหลายและให้ถือว่าบรรดา
ศิษย์ทั้งหญิงและชายที่มาเรียนนาฏศิลป์และดนตรีนั้น เป็นเสมือนหนึ่งบุตรหลานหรือญาติพี่น้องทั้งสิ้น
ส่วนการครอบในประการสุดท้าย เป็นการครอบที่สำคัญที่สุดกล่าวคือ เป็นการมอบกรรมสิทธิ์ให้กับศิษย์
ที่มีความพร้อมในด้านคุณวุฒิ วัยวุฒิ เพื่อเป็นหัวหน้าประกอบพิธีไหว้ครูต่อไป ซึ่งการทำพิธีครอบประการสุดท้ายนี้
มักจะกระทำให้แต่เฉพาะศิษย์ก้นกุฏิเท่านั้น หากเป็นบุคคลอื่นขอทำพิธีครอบ ครูจะต้องพิจารณาให้ถ่องแท้เสียก่อน
พิธีครอบนี้จะกระทำได้ก็เฉพาะในพิธีไหว้ครูประจำปีหรือจัดขึ้นเฉพาะกิจเพื่อสืบทอดทายาททางนาฏศิลป์ดนตรี
เท่านั้น และการครอบจะกระทำต่อจากพิธีไหว้ครูคือ หลังจากครูผู้เป็นเจ้าพิธีได้กล่าวอัญเชิญเทพยดา ครูอาจารย์ทาง
นาฏศิลป์ดนตรีที่ล่วงลับไปแล้วมาสู่ในบริเวณปริมณฑลพิธี ครูผู้ประกอบพิธีครอบก็จะเริ่มดำเนินการครอบตามความ
ต้องการของศิษย์ต่อไป
ในระหว่างที่มีพิธีครอบครูกำลังดำเนินการอยู่ บรรดาศิษย์ที่ผ่านการครอบครูแล้ว จะแสดงความกตัญญูและความ
เคารพต่อครูบาอาจารย์โดยมีการรำถวายมือ โดยจะมีครูนาฏศิลป์ทั้งหลายจะรำนำหน้าทั้งศิษย์เก่าและใหม่พร้อม ๆ กับ
วงดนตรีไทยบรรเลงประกอบไปด้วย เมื่อเสร็จพิธีครอบ ครูผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าพิธีจะทำพิธีอัญเชิญครูกลับเรียกว่า ส่งครู
เป็นเสร็จพิธี
ในพิธีการไหว้ครู นอกจากจะเป็นการเคารพคุณครูอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่และที่ล่วงลับไปแล้ว ยังได้ประโยชน์ใน
ทางอื่น ๆ ดังนี้
ประการแรก ศิษย์และครูได้มีโอกาสร่วมกันทำบุญเลี้ยงพระและแผ่ส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
ประการที่สอง ทำให้ผู้ร่วมงานได้รู้จักผู้มีอาชีพเดียวกันเพิ่มขึ้น สร้างความเชื่อมั่นในวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา
เช่น มีความกล้าในการรำถวายมือ หรือมีโอกาสต่อเพลงสำคัญ ๆ เพิ่มเติม และที่มีความหมายต่อผู้เข้าร่วมในพิธีไหว้ครู
ก็คือ มีความมั่นใจว่า เป็นศิษย์มีครู
ประการที่สาม เป็นการเปิดโอกาสให้ศิษย์ทั้งหลายได้มาพบปะสังสรรค์กัน ก่อให้เกิดความสามัคคีในระหว่างหมู่คณะ
ประการที่สี่ เป็นการอบรมให้ศิษย์มีความเคารพยึดมั่นในครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา ศิษย์ผู้เข้าพิธีไหว้ครูแล้วจะไม่ทรยศต่อครู ไม่ว่าทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ประการที่ห้า นับว่าสำคัญมากคือเป็นการอภัยโทษให้กันในระหว่างครูกับศิษย์ ไม่ว่าศิษย์จะทำให้ครูผิดพ้อง
หมองใจอย่างไรก็ตาม เมื่อมาเข้าพิธีไหว้ครูแล้วก็เป็นอันยกโทษให้กันหมดสิ้นและตั้งใจทำความดีต่อไป
****************************************
|