: : : รายละเอียดข่าว : : :

ข่าว ปีที่ :ข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 03 ประจำเดือน 03 2547
หัวข้อข่าว : ม.อ. ปัตตานี ศึกษาและฟื้นฟูการทอผ้าลีมา บ่งบอกถึงหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งภูมิปัญญา ท้องถิ่นของบรรพชนในภาคใต้ตอนล่าง
รายละเอียด :
         นักวิจัยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  วิทยาเขตปัตตานี  ศึกษาและฟื้นฟูการทอผ้าลีมา
หรือผ้าจวนตานี  เปิดประวัติศาสตร์แห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น  พบศิลปะบนผืนผ้าลีมาเป็นทั้งศาสตร์
และลีลาแห่งศิลป์ของช่างทอผ้าที่สะท้อนทัศนคติ  ความเชื่อของบรรพชนจนกลายเป็นมรดก
อันล้ำค่าทางวัฒนธรรม
         ผศ. จุรีรัตน์  บัวแก้ว  หัวหน้าโครงการวิจัยผ้ากับวิถีชีวิตชาวไทยมุสลิมในห้าจังหวัดชายแดน
ภาคใต้ของประเทศไทย  กล่าวถึงความเป็นมาของการศึกษาวิจัยดังกล่าวว่าพื้นที่ห้าจังหวัดชายแดน
ภาคใต้ในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างจีนและอินเดีย  
ตลอดจนประเทศเพื่อนบ้าน  เนื่องจากมีสินค้าที่เป็นที่ต้องการของพ่อค้าต่างชาติ  การแลกเปลี่ยน
ทางการค้านำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม  โดยเฉพาะวัฒนธรรมการใช้ผ้าเกิดขึ้นเมื่อ
ชาวอินเดียเข้ามาติดต่อค้าขายในภูมิภาคนี้  ซึ่งวัฒนธรรมดังกล่าวจะแตกต่างจากภาคอื่น  ๆ  
นับตั้งแต่การใช้ผ้าในการแต่งกาย  ประกอบพิธีทางศาสนา  และประเพณีวัฒนธรรม  จึงมีผ้า
หลายชนิดในชีวิตประจำวัน  เช่น  ผ้าจวนตานี  ผ้ายกตานี  ผ้ากะป๊ะห์  ฯลฯ  เดิมชาวบ้านเมืองมี
การทอผ้าโดยใช้วัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่นเป็นผ้าเนื้อหยาบ  จนได้รับการถ่ายทอดเทคนิคการ
ทอผ้าชั้นสูงจากชาวอินเดียที่เข้ามาอาศัยในภาคใต้ตอนล่าง  ผสมผสานกับความรู้เดิม  ประกอบ
กับมีการติดต่อกับประเทศจีน  จึงได้นำเข้าเส้นใยจากประเทศจีน  ซึ่งเป็นเส้นใยที่มีคุณภาพ
ดีที่สุดในโลก  ทำให้ผ้าที่ผลิตขึ้นใช้ในเวลาต่อมามีความสวยงามและมีคุณค่า  แต่นับวันจะ
สูญหายไปจากภาคใต้  เนื่องจากอิทธิพลตะวันตกสินค้าประเภทเสื้อผ้าถูกนำมาขายในราคา
ที่ถูกกว่าผ้าทอพื้นเมือง  ประกอบกับเส้นใยไหมต้องสั่งเข้ามาจากประเทศจีน  ทำให้ผ้า
พื้นเมืองเช่นผ้าจวนตานีมีราคาต้นทุนสูง
         อดีตผ้าจวนตานีที่ทอด้วยไหมมีความงดงาม  ทำให้มีผู้ใช้กันมากแต่มีราคาแพง
เพราะต้นทุนสูง  เนื่องจากต้องสั่งซื้อเส้นไหมจากประเทศจีน  เมื่ออิทธิพลตะวันตกเข้ามา
เผยแพร่ในไทย  เสื้อผ้าราคาถูกเข้ามาแทนที่ทำให้อุตสาหกรรมพื้นบ้านลดความสำคัญลง  
ประกอบกับผ้าจวนตานีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว  กล่าวคือส่วนใหญ่เป็นผ้าที่ทอด้วยไหม  มีล่องจวน  
(แนวหรือร่องที่ปรากฏบนตัวผ้าและเชิงผ้า)  ปรากฏอยู่ระหว่างตัวผ้าและเชิงผ้า  บริเวณเชิงผ้า
ส่วนใหญ่ใช้ย้อมสีแดง  แต่ละผืนมีลวดลายตั้งแต่  5 – 9  ลาย  สีสันของตัวผ้าจะติดกับเชิงผ้า  
สีที่ใช้เป็นสีธรรมชาติได้แก่สีแดง  เขียว  ม่วง  น้ำตาล  ดำ  และชมพู  นอกจากนี้ยังใช้เชือก
กล้วยตานีเท่านั้นในการมัดย้อม  จะเห็นได้ว่าขั้นตอนการผลิตค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อน  
โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่  2  ไทยไม่สามารถสั่งนำเข้าเส้นใยจากต่างประเทศได้  
ยิ่งส่งผลให้ผ้าจวนตานีเสื่อมความนิยมลงและค่อย  ๆ  สูญหายไปในที่สุด  ดังนั้นจึงได้มีการ
ศึกษาและฟื้นฟูการทอผ้าจวนตานีหรือผ้าลีมาตามแนวพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าฯ  
พระบรมราชินีนาถ  โดยศึกษาความเป็นมาของผ้าแต่ละชนิดที่ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มในวิถีชีวิต
ของชาวไทยมุสลิมห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ในอดีต  ศึกษารูปแบบ  ลวดลาย  และสีสันที่
ปรากฏบนผ้า  ศึกษาเทคนิคการทอผ้าชนิดต่าง  ๆ  โดยเฉพาะผ้าไหมลีมาหรือผ้าจวนตานี  
โดยเน้นเรื่องลวดลายและสีสันบนผืนผ้าที่สะท้อนให้เห็นสุนทรียภาพและขนบธรรมเนียม
ประเพณีท้องถิ่น  จากนั้นจึงดำเนินการถอดแบบลวดลายของผ้าไหมลีมาแก่วิทยากรต้นแบบ
เพื่อการถ่ายทอดสู่ชุมชนต่อไป  โดยตั้งสมมุติฐานว่าลวดลายและสุนทรียภาพที่
ปรากฏบนผืนผ้าเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญทางด้านจิตใจ  ความละเอียดอ่อนของ
ผู้ผลิต  ผสมผสานกับค่านิยมและความเชื่อของบรรพชนในอดีต
         ผศ. จุรีรัตน์  บัวแก้ว  กล่าวถึงผลการศึกษาวิจัยว่าผ้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันของ
ไทยมุสลิมในห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้มีหลายชนิดที่สำคัญคือ  ผ้าพื้น  ผ้ายกตานี  ผ้าปลางิน  
ผ้ายาวา  ผ้าบือแร  ผ้าสะมารินดา  และผ้าไหมลีมาชนิดไหมต่าง  ๆ  เป็นต้น  สำหรับผ้าไหม
ลีมาหรือผ้าจวนตานีนั้นเป็นผ้าที่เคยทอในเมืองปัตตานีคือ  จังหวัดยะลา  นราธิวาส  และ
ปัตตานีในปัจจุบัน  มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสวยงามที่สุดกล่าวคือ  เป็นผ้าไหมมัดหมี่โบราณ
ประเภทผ้าปูม  ได้รับอิทธิพลจากผ้าปโตลา  (patola)  ของอินเดียทั้งในด้านรูปแบบ  
ลวดลาย  และสีสัน  โดยผ่านทางชวา  บาหลี  และเขมร  ประมาณพุทธศตวรรษที่  17 – 18  
สำหรับในพื้นที่ห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้สันนิษฐานว่าอาจรับเทคนิคการทอผ้าลีมาจากอินเดีย  
ชวา  บาหลี  และเขมร  มาผสมผสานกับเทคนิคการทอผ้าของท้องถิ่นที่มีอยู่เดิม
         ลักษณะเด่นของผ้าไหมลีมาคือ  เป็นผ้ายาวหรือผ้าปล่อย  คล้ายผ้าขาวม้า  กว้าง  
80 – 85  เซนติเมตร  และยาว  210 – 220  เซนติเมตร  องค์ประกอบของผ้าลีมาได้แก่  เชิงผ้า  
ล่องจวน  และตัวผ้า  วัสดุที่ใช้ในการทอได้แก่  เส้นใยไหมที่มีคุณภาพดี  นอกจากนี้ยังพบว่า
มีการใช้เส้นใยฝ้ายแกมไหมในการทอบ้างแต่ไม่มาก  สีของผ้าลีมาส่วนใหญ่มีสีของตัวผ้า
เป็นสีเขียว  ม่วง  น้ำตาลแกมแดง  และแดงอิฐ  จุดเด่นของผืนผ้าอยู่ที่เชิงของผ้ามักมีสีแดง  
เท่าที่พบในขณะนี้ผ้าลีมาทุกผืนมีเชิงสีแดงทั้งหมด  แต่พบไม่กี่ผืนที่มีเชิงสีน้ำตาลแกมแดง  
สีของผ้าลีมาเหมือนกับสีของผ้าปโตลาและยังมี  5  สีเหมือนผ้าปโตลาด้วย  เทคนิค
การผลิตจะใช้เทคนิคการทอมัดหมี่ซึ่งเป็นเทคนิคการทอที่ยากที่สุด  มีการผูกมัดเส้นไหม
แล้วนำไปย้อมสี  เพื่อทำให้เกิดลวดลายหลากสี  ขึ้นอยู่กับเทคนิคและจำนวนครั้งในการ
มัดย้อมเส้นไหม  โดยมีลวดลายหลายรูปแบบตามประเภทต่าง  ๆ  อาทิ  กลุ่มลีมาปาลีกัต
หรือลายตาหมากรุก  มีจุดเด่นของผ้าอยู่ที่ลวดลายมัดหมี่ตรงเชิงผ้า  กลุ่มลีมาบินตังหรือลีมา
ลายดาวกระจาย  ตัวผ้ามีลายคล้ายดวงดาวกระจายอยู่ทั่วทั้งผืนผ้า  คล้ายดอกประจำยาม
และคล้ายดอกไม้  ลายผ้ามนกลุ่มนี้มีทั้งลายที่เกิดจากกรรมวิธีมัดหมี่  กลุ่มลีมาปูก๊ะ  ลายตาข่าย
หรือลายก้านแย่งจะพบมากกว่าลายอื่น  ๆ  ลักษณะลายมีขนาดใหญ่  รูปทรงป้อมอ้วน  
โดยเฉพาะผ้าไหมลีมาสีน้ำตาลเข้มส่วนใหญ่ทอในรัฐกลันตัน  ประเทศมาเลเซีย  ใช้เทคนิค
มัดหมี่จากการทอยก  ลวดลายมีความสวยงามเนื่องจากมีขนาดเล็ก  ไม่เป็นลายต่อเนื่อง  กลุ่มลีมา
อายะหรืออายัตหรือลายตัวอักษรอาหรับ  กลุ่มนี้พบน้อยที่สุด  ผืนผ้าเป็นตัวอักษรอาหรับทั้งผืน  
มักใช้เป็นผ้าสำหรับคลุมศพผู้ตาย  กลุ่มลีมาจูวา  ลายจวนตานีหรือลีมาล่องจวน  กลุ่มนี้มี
ลักษณะเด่นอยู่ที่รูปแบบของลายคือใช้ล่องจวนทำเป็นลายในตัวผ้า  โดยการจัดวางเป็นแถว
ตามขวางและยาวของผ้า
         การใช้สอยผ้าลีมา  เป็นผ้าของชนชั้นปกครองและผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจสูง  สวมใส่
เป็นเครื่องนุ่งห่ม  เป็นผ้าที่ทอจากเส้นใยคุณภาพดีจึงมีราคาสูง  ใช้ในงานพิธีการสำคัญ  ๆ  
เท่านั้น  กษัตริย์นิยมมอบผ้าลีมาเป็นเครื่องราชบรรณาการ  เป็นของพระราชทานแก่ขุนนาง
และข้าราชการ  ให้เป็นของกำนัลเป็นของขวัญในงานแต่งงาน  ในการแต่งกายของหญิงใช้เป็น
ผ้าสไบพาดไหล่  คลุมไหล่  คลุมศีรษะและกระโจมอก  สำหรับชายใช้เป็นผ้าสำหรับนุ่งแบบ
ปูฌอปอตอง  หรือเป็นผ้าสะลินดังนุ่งปิดทับกางเกงขายาว  นอกจากนี้ยังใช้ผ้าลีมาเป็น
ผ้าคลุมศพ
         ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาวิจัยเรื่องผ้าลีมาหรือผ้าจวนตานี  ทำให้ทราบถึง
ประวัติการใช้เครื่องนุ่งห่มในวิถีชีวิตชาวไทยมุสลิมในห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้  เข้าใจบทบาท
ของผ้าในวิถีชีวิตที่สอดแทรกอยู่ในประเพณีความเชื่อและพิธีกรรมต่าง  ๆ  นอกจากนี้ยัง
สามารถนำความรู้ในเรื่องการทอผ้าไหมแบบดั้งเดิมสอนแก่วิทยากรต้นแบบ  ส่งผลให้มี
การรื้อฟื้นการทอผ้าไหมลีมาอย่างดั้งเดิมที่เคยสูญหายไปให้กลับมาเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
อีกครั้งหนึ่ง  นับเป็นความสำเร็จที่มีคุณค่าต่อประเทศชาติและท้องถิ่นภาคใต้ตอนล่างในการ
สืบสานงานหัตถศิลป์พื้นถิ่นที่ควรอนุรักษ์และเผยแพร่ออกสู่สายตาสาธารณชน  ดังพระราชเสาวนีย์
ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ  พระบรมราชินีนาถ  ครั้งเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรผลงาน
วิจัยดังกล่าว  เมื่อวันที่  8  ตุลาคม  2542  ว่า  “ผ้าลีมาสวยงามมาก  สมควรที่จะค้นคว้าทดลอง
ต่อไป”
         “กล่าวได้ว่างานวิจัยเรื่องนี้ประสบความสำเร็จในการอนุรักษ์และเผยแพร่ผ้าไหมลีมา
ให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป  เปรียบเสมือนหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น
ของมวลชนในภาคใต้ตอนล่าง  ได้เปิดเผยตนเองให้เห็นคุณค่าแห่งความงดงามบนผืนผ้าที่
สะท้อนทัศนคติและความเชื่อของบรรพชนในอดีต  จนกลายเป็นมรดกอันล้ำค่าทางวัฒนธรรม
ที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนในท้องถิ่นสืบไป”  ผศ. จุรีรัตน์  บัวแก้ว  กล่าว

                                         ******************************************
โดย : * [ วันที่ ]