รายละเอียด :
|
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี พระราชทานโล่เกียรติยศแก่เมธีวิจัยอาวุโสด้าน
วัฒนธรรม สาขาวรรณคดีไทย ประจำปี 25472548 แก่รองศาสตราจารย์ ดร. ดวงมน จิตร์จำนงค์
อาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2549 ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ศาสตราจารย์ ดร. ปิยะวัติ บุญหลง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
เปิดเผยว่าสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ได้ส่งเสริมให้มีทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยเพื่อระดมนักวิจัยระดับ
ที่มีผลงานดีเด่นสูงสุดของประเทศในสาขาต่าง ๆ มาช่วยกันสร้างนักวิจัยที่มีคุณภาพสูงให้ประเทศ โดย
เน้นหนักในการพัฒนาทีมงาน พัฒนาผลงาน และพัฒนานักวิจัยรุ่นใหม่ เพื่อสร้างศักยภาพเชิงปัญญา
ระยะยาวของชาติ โดยยกย่องให้ผู้ที่รับทุนเป็น เมธีวิจัยอาวุโส สกว. เริ่มให้ทุนตั้งแต่ปี 2538 จนถึง
ปัจจุบันรวม 129 ทุน เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2549 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ได้จัดพิธีมอบ
รางวัลแก่เมธีวิจัยอาวุโสที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร โดยได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชทานโล่เกียรติยศแก่เมธีวิจัยอาวุโส สกว. ประจำปี
2547 2548 จำนวน 25 คน ทั้งนี้ รองศาสตราจารย์ ดร. ดวงมน จิตร์จำนงค์ อาจารย์ภาควิชา
ภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้รับ
รางวัลเมธีวิจัยอาวุโส ประจำปี 2547 ด้านวัฒนธรรม สาขาวรรณคดีไทย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้ได้รับรางวัลว่าปัจจุบัน
นานาประเทศรวมทั้งประเทศไทยกำลังเร่งพัฒนาสังคมของตนให้เป็นสังคมแห่งความรู้ ซึ่งต้องอาศัยการ
สร้างองค์ความรู้และการพัฒนาคนในด้านต่าง ๆ การสร้างสังคมที่มีความรู้ทำได้โดยการสร้างเสริมงานวิจัย
เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ โดยนักคิดและนักวิชาการที่จะมีส่วนช่วยพัฒนาสังคมให้เข้มแข็ง มีขีดความ
สามารถสูง และนำประเทศไปสู่ความเจริญอย่างยั่งยืน การที่ สกว. สนับสนุนกระบวนการสร้างความรู้
สร้างนักวิจัย มีการมอบรางวัลให้กับนักวิจัยที่มีความรู้ความสามารถ จึงเป็นแรงผลักดันให้นักวิจัยมีความ
อุตสาหะ มีกำลังใจที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ
ศาสตราจารย์ ดร. ปิยะวัติ บุญหลง เปิดเผยเพิ่มเติมว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เมธีวิจัยอาวุโส
สกว. แต่ละท่านสามารถผลิตผลงานวิจัยที่มีคุณภาพสูง สามารถตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติจำนวนมากกว่า
1,200 เรื่อง และผลงานวิจัยอีกส่วนหนึ่งยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงพาณิชย์ เชิงสาธารณะ และ
เชิงนโยบาย อีกทั้งยังบรรลุวัตถุประสงค์ที่สำคัญของโครงการในด้านการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ รวมทั้ง
กระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูงสนใจเป็นนักวิจัยมากขึ้น จากความสำเร็จที่ผ่านมาจะนำไปสู่การ
เชื่อมโยงงานวิจัยแบบมุ่งเป้า เพื่อเกิดทิศทางที่นำไปสู่การใช้ประโยชน์ในระดับมหภาคหรือระดับชุมชน
ในระยะยาวได้อย่างแท้จริง
รองศาสตราจารย์ ดร. ดวงมน จิตร์จำนงค์ ผู้ได้รับรางวัลเมธีวิจัยอาวุโสด้านวัฒนธรรม กล่าวว่า
ผลงานวิจัยที่ได้รับพระราชทานรางวัลคือ ผลงานศึกษาโลกทัศน์และพลังทางสุนทรียะในวรรณกรรมไทย
ช่วง 25202547 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สังคมไทยมีความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง
ในขณะที่นักคิดทางสังคมซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผู้สร้างวรรณศิลป์ตระหนักว่าปัญหาและการแก้ปัญหาผูกโยงกับ
ระบบคิดของคนในสังคม การสร้างสรรค์งานวรรณกรรมก็คือผลผลิตของการศึกษาเรียนรู้ของบุคคล
ซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กับความรับรู้ต่อปัญหาของปัจเจกบุคคลและปัญหาที่กระทบต่อสังคมโดยรวม ซึ่งผลงาน
วิจัยดังกล่าวอาจนำไปใช้ประโยชน์เชิงสาธารณะคือ กระตุ้นให้เกิดการเพ่งพินิจต่อการสร้างสรรค์ทาง
วรรณศิลป์เชื่อมโยงกับการตรวจสอบระบบคิดของสังคมอย่างจริงจัง อันอาจจะส่งผลให้มีความตื่นตัว
ทางปัญญาของผู้รับงานและผู้สร้างสรรค์บทประพันธ์ อีกทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อวงการวรรณคดีศึกษา ทั้งใน
การศึกษาอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
การศึกษาวิจัยวรรณกรรมช่วงนี้ในแง่โลกทัศน์คือ การศึกษาภาพรวมของระบบคิดซึ่งเป็นรากฐาน
ของทัศนะต่อปัญหาและปัจจัยในการแก้ปัญหา ระบบคิดดังกล่าวไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนมาจากรากใน
วัฒนธรรมไทยหรือสร้างสรรค์ขึ้นใหม่อย่างไร ย่อมเป็นปฏิกิริยาต่อข้อเท็จจริงในประสบการณ์ของสังคม
อีกทั้งอาจจะแสดงถึงความหวังหรืออุดมคติที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วย จึงไม่อาจกล่าวว่าวรรณกรรมเป็น
เครื่องสะท้อนข้อเท็จจริงในสังคมเท่านั้น เนื่องจากศิลปะวรรณกรรมเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เป็น
ปฏิกิริยาต่อคุณภาพหรือความเสื่อมในชีวิต ยิ่งกว่านี้งานที่จัดเป็นศิลปะย่อมต้องอาศัยพลังการสื่อสาร
ที่เหนี่ยวโน้มดึงดูดใจหรือแม้แต่กระตุ้นเร่งเร้าให้คิดและรู้สึกไปพร้อมกัน การศึกษาเนื้อหาทางความคิด
เนื้อหาทางอารมณ์ และวิธีการประกอบสร้างงานจึงต้องกระทำควบคู่กันไป โดยพิจารณาแยกเป็นผลงาน
ของบุคคล กลุ่มพวก หรือเชื่อมโยงกับประเภทงาน ทั้งนี้กระบวนการศึกษาจำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์
ตีความเชิงวิจารณ์และการประเมินคุณค่าในเชิงสุนทรียศาสตร์และเชิงจริยธรรม โดยจัดกลุ่มนักวิจัย
เป็น 4 กลุ่มคือ กวีนิพนธ์ สารคดีเรื่องสั้น นวนิยาย และบทภาพยนตร์
สำหรับผลงานวิจัยที่ผ่านมาเริ่มต้นด้วยการศึกษางานแบบฉบับ (Classical Literature) ในระดับ
ปริญญามหาบัณฑิตตั้งแต่ปี 2516 คือวรรณคดีเรื่องทวาทศมาส อันเป็นวรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น
ขณะที่ปฏิบัติหน้าที่การสอนได้เน้นความสำคัญของการวิเคราะห์วิจารณ์ อันเป็นส่วนสำคัญในการสร้าง
องค์ความรู้และจัดกระบวนการเรียนรู้แก่นักศึกษา จึงได้อาศัยการแสวงหาความรู้ในเชิงวิจัยตรวจสอบ
องค์ความรู้และทัศนะต่อผลงานสร้างสรรค์ทางวรรณคดี จนได้เขียนบทวิเคราะห์ลิลิตพระลอในเชิง
วรรณคดีวิจารณ์ เขียนบทความ ศึกษาความคิดทางการเมืองการปกครองในเสภาขุนช้างขุนแผ่น บท
พระราชนิพนธ์บางเรื่องในรัชกาลที่ 6 บทละครนอกพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 เป็นต้น ต่อมา
ได้ทำวิจัยเพื่อวรรณคดีเพื่อวิทยานิพนธ์ในระดับดุษฎีบัณฑิตอันเป็นการศึกษาวรรณคดีสมัย
รัตนโกสินทร์ตอนต้นในแง่คุณค่าที่แสดงพัฒนาการทางวรรณศิลป์ของยุคที่มีความตื่นตัวทางปัญญา
ในประวัติศาสตร์ไทยยุคหนึ่ง ผลการวิจัยได้ชี้ว่ามีการปรับเปลี่ยนโลกทัศน์จากวรรณคดีสมัยอยุธยา
และนวลักษณ์ของยุคนี้อยู่ที่การแสดงคุณค่าของการเรียนรู้และเผชิญปัญหาด้วยคุณสมบัติภายในของ
มนุษย์ โดยไม่แบ่งแยกตัวเอกและฝ่ายปฏิปักษ์
การวิจัยดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับหน้าที่การงานในฐานะอาจารยผู้สอน แสดงให้เห็นว่าการสอน
กับการวิจัยไม่ตัดขาดจากกัน ผลงานวิจัยยืนยันและให้ความมั่นใจแก่ผู้วิจัยว่าวัฒนธรรมทางวรรณศิลป์
ของไทยเป็นวัฒนธรรมหลักอย่างหนึ่งอันมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน มีคุณค่าทางความงาม
และทางจริยธรรมบนพื้นฐานของความคิดเชิงปรัชญา มีความสัมพันธ์กับระบบความคิดในรากทาง
วัฒนธรรมโดยเฉพาะปรัชญาในพุทธศาสนา และยังสร้างแรงกระตุ้นต่อเนื่องในการสร้างสรรค์
อย่างไม่ขาดสายจนถึงปัจจุบัน
ประวัติส่วนตัว
รองศาสตราจารย์ ดร. ดวงมน จิตร์จำนงค์ เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2490 อำเภอโกสุมพิสัย
จังหวัดมหาสารคาม เป็นบุตรของ พ.ต.อ. (พิเศษ) ปริญญา และนางลดาวัลย์ ปริปุณณะ การศึกษา
ระดับต้นได้เข้าเรียนในโรงเรียนต่าง ๆ ในส่วนภูมิภาค เนื่องจากย้ายตามบิดาอาทิ โรงเรียนเทศบาล
วัดศรีเกิด จังหวัดเชียงราย โรงเรียนส่วนบุญโญปถัมภ์ จังหวัดลำพูน โรงเรียนสตรีชัยนาท
คณะราษฎร์บำรุง 2 จังหวัดชัยนาท และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท กรุงเทพฯ
ในระดับอุดมศึกษา เมื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในปี 2512 ได้เข้าทำงานเป็นอาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย
สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จังหวัดปัตตานี ขณะรับราชการได้ศึกษาต่อที่คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต ในปี 2516 และอักษรศาสตร์
ดุษฎีบัณฑิตในปี 2534 ตามลำดับ ในปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ระดับ 9
ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต
ปัตตานี สมรสกับนายอนันต์ จิตร์จำนงค์ มีบุตร 2 คน คือนายนนท์ และนายรักข์ จิตร์จำนงค์
ประวัติการทำงาน
พ.ศ. 25362541 ดำรงตำแหน่งรองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต
ปัตตานี
พ.ศ. 2541 2544 ดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริหารหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิตและปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา
ภาษาไทย เป็นกรรมการสภาวิชาการของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในระบบการเรียนการสอนระดับ
บัณฑิตศึกษา ยังได้เป็นประธานกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ในสาขาวิชาภาษาไทยและภาษาไทย
กับการสื่อสาร นับตั้งแต่ปี 2535 2548 เกินกว่า 10 เรื่อง นอกจากนี้ยังได้เขียนบทวิจารณ์วรรณกรรม
ร่วมสมัยและเผยแพร่แนวคิดทางวรรณคดีวิจารณ์และวรรณคดีศึกษาในนิตยสารและวารสารทางวิชาการ
อย่างต่อเนื่อง
รางวัลที่เคยได้รับได้แก่ ผลงานวิจัยดีเด่นทุนวิจัยรัชดาภิเษกสมโภช ประจำปี 2535 ของจุฬาลงกรณ
มหาวิทยาลัย (งานวิจัยวิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิตเรื่อง คุณค่าและลักษณะเด่นของวรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์
ตอนต้น พ.ศ. 2325 2394) อาจารย์ตัวอย่างด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
พ.ศ. 2537 รางวัลมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย (TTF Award) พ.ศ. 25382539 ประเภทงานวิจัยสาขา
สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จากงานวิจัย คุณค่าและลักษณะเด่นของวรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
บทวิจารณ์ดีเด่นกองทุน ม.ล. บุญเหลือ เทพสุวรรณ พ.ศ. 2539 ครูภาษาไทยดีเด่นระดับอุดมศึกษาของคุรุสภา
พ.ศ. 2541 และผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม สาขามนุษยศาสตร์ด้านการใช้ภาษาไทย พ.ศ. 2548 ของ
กระทรวงวัฒนธรรม
***********************************
|