มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้ระดมความคิดในการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัด
ชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2547 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตปัตตานี โดยมีโต๊ะครูปอเนาะ ผู้บริหารโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดน
ภาคใต้ ผู้นำท้องถิ่น ผู้แทน NGO ผู้แทนหอการค้า สภาอุตสาหกรรมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ
ผู้สนใจ เข้าร่วมการสัมมนาประมาณ 300 คน วิทยากรประกอบด้วย นายวินัย สะมะอูน รองประธาน
คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อิสมาแอ อาลี ผู้อำนวยการ
วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปิยะ กิจถาวร
นักวิชาการรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และนายกิตติ กิตติโชควัฒนา
อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เพื่อหาแนวทางการสร้างสันติสุขและพัฒนาที่ยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วรวิทย์ บารู รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและชุมชน มหาวิทยาลัย
สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวกับผู้เข้าร่วมสัมมนาว่าเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งส่งกระทบต่อสังคมในพื้นที่ทุกระดับ เกิดความสับสนและความหวาดระแวง
อย่างกว้างขวาง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ในฐานะสถาบันการศึกษาในพื้นที่จึงได้
เชิญประชาคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระดมความคิดเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา โดยมี
นักวิชาการ หอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรม ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนา ผู้แทน NGO และ
ผู้สนใจ เข้าร่วมสัมมนาประมาณ 300 คน โดยมหาวิทยาลัยฯ จะทำหน้าที่ประมวลข้อมูลและแนวทาง
การแก้ปัญหาจากประชาคม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นำไปพิจารณาในการแก้ปัญหาต่อไป
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปิยะ กิจถาวร นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต
ปัตตานี เปิดเผยว่าสาเหตุของการเกิดปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จากโครงการวิจัยเรื่อง ข้อค้นพบ
จากการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจปัญหาพื้นฐานของจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า มาจากสาเหตุ 3 ประการคือ
ปัญหาแนวคิดของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นมาในสมัยของการล่าอาณานิคม ซึ่งแนวคิดเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ทำให้
มีการแบ่งแยกในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ประกอบกับภาครัฐได้นำเรื่องของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นตัวกำหนดการ
แบ่งแยกและเป็นเครื่องมือในการใช้ความต่างของเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ทำให้เกิดการแบ่งแยก
การเข้าใจความต่างกัน รัฐทำได้ไม่ยากแต่ในส่วนของประชาชนในพื้นที่นั้น ได้ใช้รูปธรรมที่ชัดเจนในการ
จัดการชุมชนของตนเองและแก้ปัญหาความต่างในพื้นที่อยู่ตลอดมาคือ มีการเรียนรู้วัฒนธรรม ประเพณี
ซึ่งกันและกัน แต่ในขณะเดียวกันฝ่ายรัฐเองและสื่อได้สร้างความต่างของกลุ่มชาติพันธุ์มีอิทธิพลต่อการ
เกิดการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ โดยดูได้จากการแก้ปัญหาของรัฐที่นำประเด็นของความต่างของกลุ่ม
ชาติพันธุ์มาเป็นประเด็นสำคัญ ทำให้ผู้ที่อยู่นอกพื้นที่เข้าใจเช่นนั้น ทั้งนี้ส่งผลต่อพฤติกรรมวัยรุ่นในพื้นที่
ที่เริ่มมีปฏิกิริยาต่อต้านอำนาจรัฐ เพราะเกิดจากการได้รับความกดดันจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปิยะ กิจถาวร เปิดเผยถึงผลการศึกษาวิจัยอีกว่าแนวทางการลดความขัดแย้ง
ในพื้นที่นั้นมีอยู่ 7 ประการคือ ต้องเข้าใจหลักศาสนาทุกศาสนาในพื้นที่ การไปมาพบปะแลกเปลี่ยน
ความคิดเห็นของคนในพื้นที่ที่ต่างศาสนา รู้ถึงความต้องการของทั้งฝ่ายเราและฝ่ายเขา เมื่อมีกรณีพิพาทกัน
ไม่ควรกล่าวโทษผิดซึ่งกันและกัน ควรมีการปรึกษาหารือกัน การให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนในพื้นที่ควร
เท่ากัน ไม่มีความต่างในศาสนา และสุดท้ายรัฐควรมีการปราบโจรและข้าราชการที่ทุจริตอย่างเด็ดขาด
เพราะฉะนั้นปัญหาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่เป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ โดยง่ายที่สุดที่รัฐพยายามแก้ไขคือ
ต้องสร้างความเข้าใจพื้นที่และเจ้าหน้าที่เองต้องมีการละลายพฤติกรรม ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่กับประชาชนใน
พื้นที่ได้อย่างมีความเข้าใจกัน
นายวินัย สะมะอูน รองประธานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กล่าวถึงมิติของกลุ่ม
ชาติพันธ์ว่าเป็นมิติหนึ่งที่สร้างความไม่เข้าใจให้กับรัฐ ปัญหาต่าง ๆ ทุกฝ่ายมองเห็นตรงกัน แต่อุปสรรค
ของการแก้ปัญหาอยู่ที่ว่า การปฏิบัติที่ไม่ได้ทำอย่างจริงจัง ไม่จริงใจ มีปัญหาครั้งหนึ่งก็ทุ่มงบประมาณ
เข้ามาในพื้นที่ครั้งหนึ่ง คนปฏิบัติเองหรือเจ้าหน้าที่ที่แก้ปัญหาเองยังมีความหวาดระแวง ดังนั้นการแก้ปัญหา
ต้องแก้ที่คนปฏิบัติและผู้แก้ปัญหาจะใช้ความรู้สึกตัวเองอย่างเดียวไมได้ในการแก้ปัญหา ต้องอาศัยความรู้
ส่วนการข่าวของรัฐยังอ่อนแอ รัฐได้ข้อมูลจากสายข่าวของหน่วยงานภาครัฐแต่เพียงด้านเดียว โดยความ
เป็นจริงแล้วรัฐต้องรับฟังสายข่าวจากประชาชนด้วย ซึ่งปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่
เป็นปัญหาของชาวมุสลิมในพื้นที่นี้เท่านั้น แต่มีผลกระทบถึงจิตใจชาวมุสลิมทั่วประเทศ เพราะฉะนั้น
การแก้ไขปัญหาต้องมาจากความคิดเห็นของชาวมุสลิมทั้งประเทศ ดังกระแสพระราชดำรัสของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือ เข้าถึง เข้าใจ และพัฒนา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อิสมาแอ อาลี ผู้อำนวยการวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลา
นครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้เสนอแนะต่อผู้เข้าร่วมสัมมนาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตั้งแต่เดือน
มกราคมที่ผ่านมานั้น ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งจากความหลากหลายทางวัฒนธรรมหรือทางศาสนา
ชาวมุสลิมต้องการความสันติสุขตามหลักการของศาสนา แต่จะมีการต่อสู้กันก็จะเป็นไปในลักษณะการ
ต่อสู้โดยสันติวิธี มีกติกาอยู่ในกฎระเบียบของภาครัฐ ปัจจุบันโอกาสการต่อสู้อย่างสันติวิธีของคนที่นี่
มีมากมาย โดยเฉพาะระบบการปกครองท้องถิ่นที่คนในพื้นที่สามารถเลือกปกครองตัวเอง ตั้งแต่ระดับ
องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งเราสามารถที่จะปกครองตนเอง
โดยชาวมุสลิมเอง ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากปฏิกิริยาตอบโต้ของผู้ที่ถูกกดดันเช่น กรณีที่มีชาวมุสลิมไป
ศึกษาต่างประเทศมาก เนื่องจากระบบการศึกษาไทยไม่สามารถที่จะรองรับนักเรียนมุสลิม โดยเฉพาะ
นักเรียนมุสลิมที่เรียนเฉพาะด้านศาสนาอย่างเดียว จึงมีความจำเป็นต้องไปศึกษายังต่างประเทศ และ
นอกเหนือจากนั้นรัฐบาลไทยไม่เคยเข้าไปดูแลอำนวยความสะดวกให้นักศึกษาเหล่านั้น จึงกลายเป็น
ผู้ถูกทอดทิ้ง สร้างความหวาดระแวงระหว่างนักศึกษาและภาครัฐของไทย และเมื่อจบการศึกษาแล้วเขา
เหล่านั้นมีความต้องการที่จะเข้าทำงานในพื้นที่ แต่ด้วยระบบของการศึกษาและระบบของระบบราชการ
ไทยที่ไม่เอื้อต่อนักศึกษาเหล่านั้น ไม่สามารถรองรับวุฒิการศึกษาของผู้ที่จบมา เพราะฉะนั้นรัฐทำอย่างไร
ก็ได้ที่ให้นักศึกษาที่จบจากต่างประเทศ สามารถเข้ามาทำงานในระบบราชการไทยได้
ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้เสนอแนวคิดหลากหลาย อาทิ ประเด็นที่ทางรัฐบาลยังไม่เข้าใจพื้นที่จังหวัด
ชายแดนภาคใต้ ประกอบกับรัฐพยายามแทรกแซงวิถีชีวิตการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ที่เป็นแบบมุสลิม นอกจากนี้
ได้กล่าวชมรัฐบาลในด้านนโยบายที่พยายามพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ทั้งนี้แนวทางการปฏิบัติงานของ
เจ้าหน้าที่ขาดความจริงจังและจริงใจ มีอคติโดยใช้ความรู้สึกในการแก้ปัญหา ซึ่งจะส่งผลกระทบในการ
สร้างความหวาดระแวง ดังนั้นรัฐต้องเข้าใจถึงจะแก้ปัญหาได้
************************************
|