การจัดการอุดมศึกษาของไทยได้เริ่มมาแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและ
อุดมศึกษาสมัยนั้นมีหลากหลายเช่น โรงเรียนกฎหมาย โรงเรียนแพทย์ และโรงเรียนข้าราชการพลเรือน
เป็นต้น ซึ่งต่อมาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนได้รับการยกฐานะเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันเป็น
มหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย จากนั้นได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งอื่น ๆ ขึ้นอีกได้แก่ มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัย
เหล่านี้สังกัดอยู่ในกระทรวงต่าง ๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มหาวิทยาลัย
แพทยศาสตร์ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สังกัดกระทรวงเกษตร เป็นต้น
จนถึงปี พ.ศ. 2502 รัฐบาลสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ตราพระราชบัญญัติโอนมหาวิทยาลัยทุกแห่งไปสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากได้มี
พระราชบัญญัติจัดตั้งสภาการศึกษาแห่งชาติขึ้นในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และเห็นว่าการที่
มหาวิทยาลัยแยกกันอยู่ต่างกระทรวงเป็นเรื่องยากลำบากในการปกครองและการสร้างมาตรฐานการศึกษา
การโอนมารวมอยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งหมด จะเป็นการสะดวกในการดำเนินการทั้งในด้านวิชาการและ
ธุรการ และจะบรรลุตามเจตนารมณ์ของการจัดตั้งสภาการศึกษาแห่งชาติ เพื่ออำนวยประโยชน์ต่อการเร่งรัด
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในขณะนั้น
ในปี พ.ศ. 2514 สภาการศึกษาแห่งชาติและที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐ ได้ร่วมกัน
เสนอความเห็นต่อจอมพลถนอม กิตติขจร หัวหน้าคณะปฏิวัติ ว่ามหาวิทยาลัยจำเป็นต้องมีอิสระใน
การปกครองตนเอง มีเสรีภาพทางวิชาการในการถ่ายทอดและแสวงหาความรู้โดยถือหลักความเป็นเลิศทาง
วิชาการ จึงควรแยกมหาวิทยาลัยออกจากระบบราชการเป็นมหาวิทยาลัยกำกับของรัฐบาล หากไม่สามารถ
ดำเนินการได้ ควรจัดตั้งทบวงอิสระหรือทบวงในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นหน่วยงานต้นสังกัด
ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
ทบวงมหาวิทยาลัยได้รับการจัดตั้งโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 216 ลงวันที่ 29 กันยายน
2515 ในชื่อทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่เกี่ยวกับการดำเนินการและกำกับ
การศึกษาของรัฐในระดับอุดมศึกษา นอกเหนือจากที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ ดังนั้นวันที่
29 กันยายน 2515 จึงเป็นวันสถาปนาทบวงมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 320
ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 กำหนดระเบียบการปฏิบัติราชการของทบวงมหาวิทยาลัย มีอำนาจในการกำหนด
นโยบายและแผนการจัดการศึกษา กำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษาและการบริหารงานบุคคล
พิจารณาการเสนอและพิจารณาอนุมัติการจัดตั้ง ยุบรวม และเลิกศูนย์ประสานงานด้านการจัดการศึกษา
ระหว่างมหาวิทยาลัย เป็นต้น ทำให้ทบวงมหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่แตกต่างจากกระทรวงและทบวงอื่น ๆ
ที่ไม่ได้มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้โดยเฉพาะ
ทบวงมหาวิทยาลัยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตรา วชิระ อันเป็นตราประจำทบวง
มหาวิทยาลัย เนื่องจากพระองค์ทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นผู้ให้กำเนิดและบุกเบิกการอุดมศึกษาของ
ประเทศไทย ตราพระราชทานนี้จึงหมายถึง ทบวงมหาวิทยาลัยมีความรับผิดชอบการอุดมศึกษาของประเทศไทย
สีประจำทบวงมหาวิทยาลัยคือ สีม่วง สีน้ำเงิน
สีม่วง คือสีประจำวันเสด็จพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
สีน้ำเงิน คือสีประจำสถาบันพระมหากษัตริย์
ตราประจำทบวงมหาวิทยาลัยคือ ตราวิชระ เป็นรูปวงกลม สีเส้นรอบวง 3 เส้น ภายในวงกลมตรงกลาง
เป็นรูปวชิระ ซึ่งเป็นตราประจำองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ข้างวงกลมด้านในมีลายกนก 3 ชั้น
เริ่มจากฐานด้านวชิระโค้งไปจนเกือบจรดปลายแหลมของวชิระ
ในปี พ.ศ. 2520 รัฐบาลสมัยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ตราพระราชบัญญัติ
เปลี่ยนชื่อทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ เป็นทบวงมหาวิทยาลัย เนื่องจากมีการโอนงานกำกับดูแลสถาบันอุดมศึกษา
เอกชนจากกระทรวงศึกษาธิการมาอยู่ในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัยด้วย และให้ยกฐานะเป็นทบวงอิสระ มีฐานะ
เทียบเท่ากระทรวง ไม่อยู่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงานและได้
ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 320 โดยตราพระราชบัญญัติระเบียบการปฏิบัติราชการของทบวง
มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2520 ขึ้นแทน เพื่อให้ทบวงมหาวิทยาลัยมีอำนาจควบคุมมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษา
ที่เป็นของรัฐและเอกชนในสังกัดด้วย
ต่อมาพระราชบัญญัตินี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี พ.ศ. 2537 เพื่อให้มีอำนาจครอบคลุม
มหาวิทยาลัยของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการและอยู่ภายใตการกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย
ซึ่งปัจจุบันได้ตั้งขึ้นแล้ว 4 แห่งคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัย
เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า
ธนบุรีเป็นมหาวิทยาลัยแรกที่ปรับเปลี่ยนสถานภาพจากสถาบันที่เป็นส่วนราชการ ไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับ
ตามนโยบายของรัฐบาลที่จะให้มหาวิทยาลัยของรัฐทุกแห่งที่เป็นส่วนราชการออกจากระบบราชการ
ปัจจุบันในปี พ.ศ. 2546 มีสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดและในกำกับทบวงมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น 78 แห่ง
โดยแยกเป็นมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัยรวม 20 แห่ง มหาวิทยาลัย
ของรัฐในกำกับของรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย รวม 4 แห่ง มหาวิทยาลัย / สถาบัน และวิทยาลัยเอกชน
รวม 54 แห่ง
สู่
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
สืบเนื่องจากการที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ประกาศใช้โดยประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 74 ก วันที่ 19 สิงหาคม 2542 ซึ่งเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติ
ฉบับนี้ก็คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 กำหนดให้รัฐต้องจัดการศึกษาอบรมและสนับสนุนให้
เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรม จัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ ปรับปรุงการศึกษา
ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม สร้างเสริมความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้อง
เกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สนับสนุนการค้นคว้า
วิจัยในศิลปวิทยาการต่าง ๆ เร่งรัดการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ พัฒนาวิชาชีพครู
และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ รวมทั้งในการจัดการศึกษาของรัฐให้คำนึงถึงการมี
ส่วนร่วมขององค์กรปกครองท้องถิ่นและเอกชนตามที่กฎหมายบัญญัติ และให้ความคุ้มครองการจัดการศึกษาอบรม
ขององค์กรวิชาชีพและเอกชนภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ จึงควรมีกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติเพื่อ
เป็นกฎหมายแม่บทในการบริหารและจัดการศึกษาอบรม ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย โดยพระราชบัญญัติฉบับนี้บัญญัติให้มีการหลอมรวมหน่วยงานด้านการศึกษาเดิมได้แก่
กระทรวงศึกษาธิการเดิม ทบวงมหาวิทยาลัย และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี
เข้าด้วยกันรวมขึ้นเป็นกระทรวงใหม่ชื่อว่า กระทรวงการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยมีโครงสร้างในการ
แบ่งส่วนราชการในรูปของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ กำกับดูแลการศาสนาและวัฒนธรรม การศึกษาขั้นพื้นฐาน
การศึกษาด้านการอาชีวศึกษา และการศึกษาด้านการอุดมศึกษา โดยทบวงมหาวิทยาลัยจะแปรสภาพตาม
พระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
ต่อมารัฐบาลภายใต้การนำของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีนโยบายปฏิรูประบบ
ราชการเข้าสู่ ระบบราชการยุคใหม่ โดยปรับภาคราชการให้มีคุณลักษณะธรรมาภิบาล เพื่อยกระดับขีดความ
สามารถและเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงานราชการ ให้ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของประชาชน
สังคม และประเทศชาติได้ ซึ่งได้มีการปรับบทบาท ภารกิจ และการจัดโครงสร้างระบบบริหารราชการและ
ระบบบริหารงานบุคคลภาครัฐ ในการจัดโครงสร้างส่วนราชการใหม่นั้นได้กำหนดให้แยกภารกิจเกี่ยวกับงาน
ด้านศิลปวัฒนธรรมออกจากภารกิจของกระทรวงศึกษาธิการ ศาสนา และวัฒนธรรม ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ
การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ไปจัดตั้งเป็น กระทรวงวัฒนธรรม จึงมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษา
แห่งชาติแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 โดยภายใต้กระทรวงศึกษาธิการใหม่ที่จัดตั้งขึ้นตาม
พระราชบัญญัตินี้ ได้ปรับปรุงการบริหารและจัดการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษา ประกอบกับสมควรให้มีคณะ
กรรมการการอาชีวศึกษาทำหน้าที่พิจารณา เสนอนโยบายแผนพัฒนามาตรฐาน และหลักสูตรการอาชีวศึกษา
ทุกระดับที่สอดคล้องกับความต้องการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนการศึกษาแห่งชาติ
สนับสนุนทรัพยากร ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการอาชีวศึกษาด้วย
การจัดระเบียบบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการใหม่ มีองค์กรหลักที่เป็นคณะบุคคลในรูปสภา
หรือในรูปคณะกรรมการ จำนวน 4 องค์กร ได้แก่ สภาการศึกษา คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะ
กรรมการการอาชีวศึกษา และคณะกรรมการการอุดมศึกษา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นหรือให้คำแนะนำแก่รัฐมนตรี
หรือคณะรัฐมนตรี และมีอำนาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนดไว้
คณะกรรมการการอุดมศึกษา มีหน้าที่พิจารณาเสนอนโยบายแผนพัฒนาและมาตรฐานการศึกษาที่
สอดคล้องกับความต้องการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนการศึกษาแห่งชาติ การ
สนับสนุนทรัพยากร การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยคำนึงถึง
ความเป็นอิสระและความเป็นเลิศทางวิชาการของสถานศึกษาระดับปริญญา ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้ง
สถานศึกษาแต่ละแห่งและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มีสถานภาพเป็นนิติบุคคล มีตำแหน่งเลขาธิการ (ข้าราชการ
ระดับ 11) เป็นผู้บริหารสูงสุด แบ่งโครงสร้างการบริหารงานออกเป็น 9 สำนัก ได้แก่
1. สำนักอำนวยการ
2. สำนักนโยบายและแผนการอุดมศึกษา
3. สำนักยุทธศาสตร์อุดมศึกษาต่างประเทศ
4. สำนักมาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษา
5. สำนักทดสอบกลาง
6. สำนักส่งเสริมและพัฒนาสมรรถนะบุคลากร
7. สำนักส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพนักศึกษา
8. สำนักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา
9. สำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มีสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดจำนวน 133 แห่งทั่วประเทศได้แก่
1. สถาบันอุดมศึกษาของรัฐในระบบราชการ 20 แห่ง
2. สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ 4 แห่ง
3. สถาบันอุดมศึกษาเอกชน 54 แห่ง
4. มหาวิทยาลัยสงฆ์ในกำกับของรัฐ 2 แห่ง
5. สถาบันราชภัฏ 41 แห่ง
6. สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล 1 แห่ง (40 วิทยาเขตทั่วประเทศ)
7. สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน
8. วิทยาลัยชุมชน 10 แห่ง
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เล่มที่ 120 ตอนที่ 62 ก วันที่ 6 กรกฎาคม 2546 โดยพระราชบัญญัตินี้ได้ยกเลิกพระราชบัญญัติระเบียบการ
ปฏิบัติราชการของทบวงมหาวิทยาลัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2537 ทำให้ทบวงมหาวิทยาลัยต้องแปรสภาพเป็นสำนักงาน
คณะกรรมการการอุดมศึกษาตามกฎหมายใหม่ รวมระยะเวลาดำเนินภารกิจ 30 ปี 9 เดือน 7 วัน มีรัฐมนตรี
ว่าการทบวงมหาวิทยาลัยและรักษาราชการแทนรัฐมนตรี บริหารราชการทั้งสิ้น 38 ท่าน มีปลัดทบวงมหาวิทยาลัย
บริหารราชการ 6 ท่าน
ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (Commission on Higher Education)
มีที่ทำการ ณ อาคารเลขที่ 328 ถนนศรีอยุธยา แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 (อาคาร
ทบวงมหาวิทยาลัยเดิม) มีศาสตราจารย์ร้อยตำรวจเอก ดร. วรเดช จันทรศร นักบริหารระดับ 11 (ปลัดทบวง
มหาวิทยาลัยเดิม) รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
*******************************
|