รายละเอียด :
|
ชาวจีนที่เข้ามาตั้งรกรากในภาคใต้ มีบทบาทสำคัญต่อการเสริมสร้างและปรับเปลี่ยนวิถีคิดและวิถีการดำรงชีวิตของคน
ในแต่ละชุมชนทั้งด้านภูมิปัญญา การผลิต การบริโภค และการจัดการด้านต่าง ๆ อันส่งผลต่อวิถีประชาและพลังชุมชน ก่อให้
เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสัมพันธ์กับความหลากหลายทางชีวภาพของภาคใต้
ชาวจีนจะอาศัยอยู่ทุกจังหวัดของภาคใต้และเป็นประชากรอันดับ 2 รองจากชาวบ้านพื้นถิ่น ประชากรส่วนใหญ่จะมีเชื้อ
สายจีน ประเพณีและวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องของชาวจีน จึงมีความสำคัญและเป็นประเพณีที่สำคัญของชาติประเพณีหลักไปแล้ว
ตรุษจีนหรือเทศกาลขึ้นปีใหม่นั้นมีงานที่สำคัญอยู่ 3 วันคือ ตั้งแต่วันที่ 29 , 30 ของเดือน 12 ของจีนถึงวันที่ 1 เดือน
อ้าย ซึ่งจะตกอยู่ระหว่างเดือนยี่ไปจนถึงเดือนสามของไทย และในปีนี้วันปีใหม่จะตรงกับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ตามปีใหม่สากล
ทั้งสามวันเป็นวันแห่งพิธีต้อนรับปีใหม่ วันแรกคือวันที่ 29 เรียกว่าวันจ่ายของ วันที่สองจะเป็นวันไหว้เจ้า ซึ่งไหว้ครั้ง
ที่หนึ่งเป็นการไหว้เจ้าที่ ครั้งที่สองจะเป็นวันที่ไหว้บรรพบุรุษคือพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ถ้าพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ จะไหว้ปู่ ย่า
ตา ยาย ที่ตายไปแทน ไหว้ครั้งที่สามคือไหว้บรรพบุรุษที่ห่างไกลออกไปจากครอบครัว ซึ่งจะรวมถึงญาติที่อยู่ในตระกูล
เดียวกัน
การไหว้ทั้งสามอย่างนี้จะไหว้กันคนละเวลา โดยเริ่มไหว้เจ้าในเวลาเช้ามืด ไหว้บรรพบุรุษใกล้ชิดในเวลาสาย ตกบ่ายก็ไหว้
บรรพบุรุษที่เป็นพวกญาติ
ส่วนวันที่สามคือวันปีใหม่ จะเป็นวันถือกัน ในวันนั้นจะไม่มีการทำงานใด ๆ แต่จะออกไปเยี่ยมเยียนญาติมิตร ทำแต่สิ่งดี
งาม ใส่เสื้อผ้าใหม่ แต่งตัวฉูดฉาด ไม่พูดจาเป็นอัปมงคล ไม่จับไม้กวาด ไม่ทำสิ่งของแตก ฯลฯ
เทศกาลปีใหม่ในประเทศจีนนั้น ผู้ใหญ่ชาวจีนท่านหนึ่งเล่าว่าก่อนจะถึงวันปีใหม่ราว 1 อาทิตย์ เขาจะทำพิธีส่งเจ้าครัว
ไปสวรรค์ เพื่อไปรายงานความประพฤติของคนในบ้านและเมื่อครบ 7 วันคือในวันปีใหม่ก็จะทำพิธีรับเจ้ากลับเข้าสู่บ้าน ดังนั้น
ในคืนส่งท้ายปีเก่าสมาชิกในครอบครัวจึงต่างเฝ้าคอยต้อนรับเจ้าครัวกลับ ภายในบ้านที่ถูกปิดประตูหน้าบ้านไว้ด้วยกระดาษสีแดง
ซึ่งเขียนคำอวยพรไว้ด้วย ครั้นถึงเวลาตี 4 ตี 5 ของวันใหม่ ประตูก็จะถูกเปิด กระดาษแดงที่ปิดไว้จะฉีกขาดออก เป็นเครื่องหมาย
แห่งการต้อนรับให้ปีใหม่เข้ามา ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจะเป็นผู้ทำพิธีต้อนรับปีใหม่โดยจุดธูปเทียนขึ้น เพื่อรับเจ้าครัวที่กลับ
มาจากสวรรค์และจุดประทัดขว้างออกไปจากบ้าน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นไปบรรยากาศที่สงัดเงียบก็จะมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ในการส่งเจ้าครัวขึ้นสวรรค์ จะต้องเตรียมอาหารสำหรับเซ่นเจ้าด้วยอาหารรสหวานและเหนียว เพื่อเป็นเคล็ดว่าเจ้าจะได้
รายงานต่อเง็กเซียนฮ่องเต้แต่เรื่องที่ดีและด้วยถ้อยคำที่ไพเราะหวานหูเง็กเซียน อีกทั้งด้วยความระมัดระวัง ซึ่งความเหนียวของ
ขนมนั้นจะช่วยมิให้เจ้าพูดมาก ดังนั้นขนมเข่งจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการไหว้เจ้าเทศกาลตรุษจีนนั้น เขาทำเพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่
ครอบครัวในวันเวลาที่คืบคลานเข้ามาในปีใหม่นี้ ดังนั้นเรื่องอาหารการกินก็จะจัดขึ้นอย่างฟุ่มเฟือยหรูหรา พิเศษกว่าอาหารมื้อ
ปกติด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ไหว้เจ้าหรือบรรพบุรุษและอาหารที่กินเลี้ยงกันในครอบครัวหรือให้ญาติมิตร ล้วนแล้วแต่
มีสัญลักษณ์ที่เป็นมงคลทั้งสิ้น อย่างอาหารไหว้เจ้าและบรรพบุรุษ คนจีนบางท้องถิ่นจะไหว้ด้วยอาหาร 3 ชนิด เรียกว่าตราแซ
เช่น หมูติดมัน เป็ด ไข่เป็ด ไก่ หรือหมู ไข่ ไก่ เป็ด แต่ถ้าจะเซ่นชุดใหญ่ก็ได้ เรียกว่าโหง่วแซ (ชุดใหญ่ 5 อย่าง) จะเป็น
ปลาหมึกแห้งและห่านต้มเข้ามาอีกสองสิ่ง
ส่วนอาหารที่เซ่นบรรพบุรุษนั้นจะปรุงเป็นอาหารคาว หวาน และมีผลไม้ที่จะสรรหามาเป็นพิเศษ ซึ่งทั้งนี้ส่วนหนึ่งจะ
แบ่งเป็นอาหารเลี้ยงครอบครัวและญาติมิตรด้วย
สัญลักษณ์ : อาหารมงคล
ต้มหน่อไม้จีน เป็นสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิ
ผัดปลิงทะเล เป็นสัญลักษณ์แห่งความมีฐานะดี
บะหมี่ผัดกับเห็ดหอม เป็นสัญลักษณ์ของความมีอายุยืนยาวและสุขภาพดี
ผัดผัก 7 อย่าง เป็นสัญลักษณ์แห่งสิ่งมงคลทั้ง 7 คือ
ต้นกระเทียม (สึ่งเกี๊ยะ) แปลว่า นับ , การทวีคูณ , เพิ่มพูน หมายถึง นับเงิน นับทอง นับบุตร
เก่าฮะ กินแล้วคนจะได้ชอบ
ปวยเล้ง เป็นสัญลักษณ์ของมังกรบิน มีความหมายถึงความสดชื่น กระฉับกระเฉง ว่องไว
ขึ้นฉ่าย ว่องไว พลานามัยสมบูรณ์
ไช้เท้า มีโชคลาภ
ตั้วฉ่าย ความยิ่งใหญ่
คะน้าลุ้ย ความกลมเกลียว รวมเข้ากันเป็นจุดเดียวกัน
การกินอาหารของชาวจีนในวันตรุษจีน ส่วนใหญ่อาหารที่กินจะเป็นอาหารที่มีความหมายความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่ดี ๆ ใน
ชีวิตและทรัพย์สิน และอาหารส่วนใหญ่จะมีเนื้อสัตว์ประกอบอยู่เกือบทุกชนิด ฉะนั้นเมื่อวันตรุษจีนผ่านไปแล้ว ชาวจีนจะมีวิธี
รักษาสุขภาพที่เหมาะสมและมีความแก้เลี่ยนหลังจากได้รับประทานอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์มาค่อนข้างมากด้วยวิธีที่
แยบยลนั่นคือ พอถึงวันที่ 7 นับจากวันชิวอิด (วันปีใหม่) เขาจะรับประทานอาหารผักเป็นหลัก เพื่อช่วยย่อยระบบอาหาร
ที่หมักหมมภายในร่างกายออก ผักที่ใช้จะเป็นผักชนิดใดก็ได้รวม 7 อย่าง แต่ต้องมีชื่อเป็นมงคล ผัก 7 อย่างจะออกรสเค็ม
ปะแล่ม ๆ เพียงรสเดียว การจะรวมตัวให้เป็นหนึ่งเดียว ก็จะต้องมีคู่แบบหยินและหยาง ดังนั้นของเค็มนี้จึงต้องแถมด้วย
ของหวานจึงจะสมบูรณ์แบบ ของหวานที่ว่าคือขนมเข่ง ที่กินยังไม่หมดจะต้องเอาไปตากแดด ไปเก็บมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ
แล้วเอาไปชุบแป้งหรือชุบไข่ก็ได้ พอชุบแล้วเอาไปทอดเรียงใส่จาน นับว่าผัดผักมงคลทั้ง 7 อย่างจะได้ความอร่อยไปอีกแบบ
กินไปคุยไปอาหารก็หมดไปไม่รู้ตัว ครั้นแล้วก็จิบชาร้อน ๆ อีกสักถ้วย ถือเป็นสิริมงคลอีกครั้ง พิธีฉลองตรุษจีนก็สิ้นสุด เมื่อ
รับความเป็นสวัสดีมงคลเข้ามาแล้ว ก็เริ่มทำงานกันต่อไปด้วยความตั้งใจจริง
*******************************
|