รายละเอียด :
|
ประเทศไทยเราเป็นผู้ผลิตยางธรรมชาติส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมีศักยภาพการผลิตในปัจจุบันปีละประมาณ
2.0 ล้านตัน หรือประมาณร้อยละ 32 ของการผลิตของโลก และมีพื้นที่การปลูกยาง 12 ล้านไร่ ซึ่งกระจายอยู่ใน 36 จังหวัด
ซึ่งก่อให้เกิดอุตสาหกรรมด้านยางรองรับภายในประเทศคือทั้งโรงงานอุตสาหกรรมยางดิบและอุตสาหกรรมการผลิต
ผลิตภัณฑ์ยางที่มีจำนวนถึง 518 โรงงาน
ในปัจจุบันอุตสาหกรรมยางพารามีการแข่งขันสูง ไม่ว่าจะเป็ฯการแข่งขันกับประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติรายใหญ่อื่น ๆ
เช่น อินโดนีเซียและมาเลเซีย รวมทั้งประเทศในอินโดจีนที่จะเป็นคู่แข่งการผลิตยางในอนาคตและขณะเดียวกันก็แข่งขันกับยาง
สังเคราะห์ที่มีแนวโน้มการใช้ที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้การเพิ่มขีดความสามารถด้านอุตสาหกรรมยางของประเทศไทย ในการแข่งขัน
กับนานาประเทศเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง
โดยทั่วไปยางธรรมชาติที่ได้จากต้นยางในรูปของน้ำยาง ถูกนำมาทำการแปรรูปเพื่อจัดจำหน่ายในรูปแบบต่าง ๆ แบ่งออก
ได้เป็น 5 ชนิดใหญ่ ๆ คือ น้ำยางข้น ยางเครฟ ยางแท่ง ยางแผ่น (ยางรมควัน) และยางแผ่นไม่รมควัน และยางเกรดพิเศษ
เช่น ยางแท่งความหนืดคงที่ ยางที่ช่วยในการแปรรูปโดยมีพันธะเชื่อมโยงบางส่วน ยางสกิม ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการทำน้ำยาง
ข้น ยางโปรตีนต่ำ เป็นต้น
เป็นที่ทราบกันว่ายางธรรมชาติในรูปแบบของยางแห้ง เมื่อต้องการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยาง ขั้นตอนแรกของการแปรรูป
คือ การผสมยางกับสารเคมี ซึ่งยางธรรมชาติจำเป็นต้องผ่านกระบวนการบดยาง เนื่องจากยางธรรมชาติมีน้ำหนักโมเลกุลถึง 1.6 X 104
2.3 X 106 จึงจำเป็นต้องมีการบดยาง เพื่อทำให้สายโซ่โมเลกุลของยางสั้นลง หรือมีน้ำหมักโมเลกุลที่ต่ำลง ก่อนที่จะผสมยางกับสาร
เคมีอื่น ๆ เข้าไป ซึ่งขั้นตอนของการบดยางเพื่อผสมสารเคมีดังกล่าวในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ผลิตภัณฑ์ยางวิธีทางกลนั้น
คือโดยใช้แรงเฉือนสายโซ่โมเลกุลให้เกิดการฉีกลาดและสั้นลง ซึ่งทำได้โดยใช้เครื่องบดผสมแบบเปิดหรือเครื่องผสมแบบปิด ซึ่ง
เครื่องมือทั้งสองต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการเดินเครื่องจักและส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าไฟฟ้าค่อนข้างสูง ด้วยเหตุนี้
จำเป็นเหตุให้ต้นทุนในการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติมีค่าสูงกว่ายางสังเคราะห์เช่น ยางเอส บี อาร์ (SBR) ที่เป็น
ยางสังเคราะห์ที่ใช้มากถึง 6.9 ล้านตันต่อปี มีน้ำหนักโมเลกุลเพียง 250,000 800,000 จึงไม่จำเป็นต้องบดยางก่อนการผสม
สารเคมี
นอกจากประเด็นในเรื่องการบดยาง ยางธรรมชาติยังมีปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ เกิดอาการแข็งตัวระหว่างการเก็บ
โดยความหมืดของยางจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเก็บยางในสภาวะที่เย็นเป็นระยะเวลานาน ๆ ซึ่งความหนืดของ
ยางค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจะมีผลกระทบต่อกระบวนการแปรรูปยางหลายประการเช่น ต้องใช้พลังงานในการผสมหรือการแปรรูปมากกว่า
ปกติ หรือต้องใช้เวลาในการบดผสมยาวนานมากขึ้น ซึ่งแน่นอนจะส่งผลต่อเนื่องให้ต้นทุนในการผลิตผลิตภัณฑ์มีค่าสูงกว่ายาง
สังเคราะห์อื่น ๆ
จากปัญหาที่กล่าวข้างต้น ถ้ามีการศึกษาและวิจัยถึงเทคนิควิธีการในการควบคุมน้ำหนักโมเลกุลของยางธรรมชาติให้อยู่ในระดับ
ที่เหมาะสมในขึ้นตอนของการผลิตยางดิบ และโดยการเลือกใช้สารเคมีที่ช่วยในการยับยั้งการเพิ่มขึ้นของความหนืด จะทำให้ได้ยาง
เกรดใหม่ทั้งอยู่ในรูปยางแผ่นและยางแท่งที่สามารถแก้ปัญหาอุตสาหกรรมยางดิบได้ ในด้านคุณสมบัติใหม่ที่เกิดขึ้นเช่น มีน้ำหนัก
โมเลกุลที่เหมาะสม พร้อมที่จะผสมสารเคมีได้ก่อนที่จะส่งไปยังภาคอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง โดยจะส่งผลทำให้ภาค
การผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติใช้เวลาและพลังงานในการแปรรูปยางที่น้อยลง ทำให้ยางธรรมชาติมีศักยภาพในด้านการ
แปรรูปที่สามารถแข่งขันกับยางสังเคราะห์ได้มากยิ่งขึ้น และมีต้นทุนของการทำผลิตภัณฑ์ที่ลดลง รวมทั้งส่งผลต่อเนื่องทำให้
ความจำเป็นที่จะต้องขยายปริมาณการผลิตกระแสไฟฟ้าของประเทศลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ลดปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจจะ
เกิดขึ้นจากการผลิตกระแสไฟฟ้า
ด้วยเหตุนี้ จึงนับได้ว่ายางธรรมชาติเกรดใหม่มีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่อุตสาหกรรมการผลิตยางของประเทศ
โดยทำให้ผู้ประกอบการหันมาใช้ยางเกรดใหม่เพิ่มขึ้นในการทำผลิตภัณฑ์ อันก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มของยางธรรมชาติ ซึ่งนับว่าเป็น
การแก้ปัญหาของยางธรรมชาติของประเทศในสภาวะปัจจุบันนี้ได้ นอกจากนี้อุตสาหกรรมยางดิบไทยที่จะผลิตยางเกรดใหม่นี้
จะสามารถเป็นคู่แข่งกับผู้ผลิตยางธรรมชาติรายอื่น อันเป็นการส่งผลให้เพิ่มปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติของประเทศไทย
ให้มากขึ้น
จากความสำคัญดังกล่าวจึงได้มีการศึกษาวิจัยการปรับสภาพของยางธรรมชาติพื่อลดพลังงานที่ใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ยาง โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการปรับสภาพโครงสร้างและน้ำหมักโมเลกุลของยางธรรมชาติให้ได้ยางธรรมชาติดิบเกรดใหม่
ที่มีความสามารถในการแข่งขันกับยางสังเคราะห์ได้ พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานของภาคอุตสาหกรรมการผลิตยางธรรมชาติให้มีความ
สามารถในการผลิตยางธรรมชาติที่มีความหลากหลายมากขึ้น
ดร.อรสา ภัทรไพบูลย์ชัย หัวหน้าโครงการวิจัยผลจากการปรับสภาพของยางธรรมชาติเพื่อลดพลังงานที่ใช้ผลิตผลิตภัณฑ์
ยาง เปิดเผยถึงผลการศึกษาวิจัยว่าผลการทดลองในระดับ pilot plant ซึ่งขณะนี้สำเร็จในขั้น 85 % เป็นที่น่าพอใจ และมีโครงการ
ที่จะถ่ายทอดและเผยแพร่เทคโนโลยีให้สหกรณ์สวนยาง กลุ่มอุตสาหกรรมยางดิบ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ทราบภายในเดือนพฤศจิกายน
2545 ทั้งนี้ข้อดีของยางที่ผลิตได้นี้เป็นยางธรรมชาติชนิดพิเศษที่สามารถทำให้ประหยัดพลังงานในการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง คิดเป็น
มูลค่าต่ำสุดประมาณ 15 ล้านบาท และในขณะเดียวกันสามารถประหยัดแรงงานโดยลดต้นทุนถึง 11 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมถึงค่าเสื่อม
ลงของเครื่องจักร ซึ่งขณะนี้สามารถผลิตยางดังกล่าวเพียง 4 หมื่นตัน เพื่อใช้ภายในประเทศก่อนเท่านั้นโดยไม่รวมถึงตลาดต่าง
ประเทศ
*******************************
|