สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือรัฐบาลจะทำงานเชิงรุก ผมต้องเตือนตัวเองตลอดเวลา ถ้าผมเผลอเมื่อไหร่ผมต้องตั้งรับ
ถ้าผมตั้งรับเมื่อไหร่รับรองเลยว่าผลักดันประเทศนี้เคลื่อนต่อไปไม่ไหว เพราะปัญหามันรุมเร้า ปัญหาเยอะมาก แฟ้มก็รุมเร้า ถ้า
หากเรานั่งดูแฟ้มทั้งหมด ทับตัวตายหมด สมองไม่ทำงาน ฉะนั้นผมจึงกระจายอำนาจมากที่สุดและจะแบ่งงานอีก แต่วันนี้ยังแบ่ง
งานไม่เต็มที่เพราะว่าอยากจะเห็นสายของงานนิดหนึ่ง แต่ถ้าเมื่อไรผมจะทำงานเชิงรุกแล้ว ผมจะต้องแบ่งงานออกทั้งหมด เพราะ
ผมต้องการใช้โอกาสที่เราได้มานั่งทำงานตรงนี้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดก็คือ ใช้สมองของเราให้มากที่สุด ใช้ประสบการณ์มากที่สุด
ใช้การประสานงานให้มากที่สุด ฉะนั้นถ้าผมนั่งเซ็นแฟ้มทุกวัน เรื่องมะโนสาเร่ก็เซ็น ตรงนี้ผมจะตั้งรับเลย ฉะนั้นผมจะทำงาน
เชิงรุก ส่วนรัฐมนตรีก็เป็นชั้น ๆ ไป รัฐมนตรีต้องรุกในส่วนของกระทรวงและต้องรับสิ่งที่เป็นภาพรวมของประเทศที่มาจาก
นายกรัฐมนตรี มาจากมติคณะรัฐมนตรี ข้าราชการก็ต้องรุกในส่วนของท่าน ท่านต้องรับในส่วนของข้างบน แต่ถ้าท่านไม่รุกเลย
ท่านรับอย่างเดียว หน่วยงานของท่านจะเป็นหน่วยงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ท่านจะเห็นความเปลี่ยนแปลง ผมพูดทำนายไว้เลยถ้า
ท่านรุก ต่อไปท่านจะกลายเป็นคนที่มีความสามารถ ท่านจะเป็นคนไม่มีความสามารถทันทีถ้าท่านตั้งรับ ในโลกยุคนี้จะกลายเป็น
คนที่ไม่มีประสิทธิภาพทันที ฉะนั้นท่าต้องรุกและรับ ผมจะบริหารจากเชิงยุทธศาสตร์ไปสู่เชิงวิสัยทัศน์ เพราะว่าการบริหารเชิง
ยุทธศาสตร์กับการบริหารเชิงวิสัยทัศน์นั้นมีความแตกต่างกัน รูปแบบยุทธศาสตร์นั้นคือเรียกร้องและสั่งการ แต่รูปแบบของเชิง
วิสัยทัศน์คือจะต้องสื่อสาร ต้องสื่อสารให้คนได้เห็นว่าเราจะไปตรงไหนกัน อย่างวอลดิสนีย์เขามีวิสัยทัศน์ของเขาว่าต้องการทำ
ให้คนมีความสุข ฉะนั้นเขาจะทำทุกอย่างที่ทำให้คนมีความสุข นั่นคือวิสัยทัศน์ของเขา ง่าย ๆ บรรทัดเดียว ฉะนั้นเราจะต้อง
สร้างวิสัยทัศน์ให้กับคนที่เป็นผู้ที่เราจะบริหารหรือที่จะตามกันมาเป็นผู้ตาม เราได้รู้ว่าเราจะไปตรงไหนมากกว่าที่จะเป็นลักษณะ
เรียกร้องและสั่งการ เพราะลักษณะนี้เป็นลักษณะแบบการนำภายในออกไป จะเป็นเชิงวิสัยทัศน์ก็คือการที่เราจะต้องเป็นผู้นำในยุค
ใหม่ จะต้องเป็นนักเล่าเรื่อง เป็นคนที่เล่าเรื่องได้ดี เพื่อให้คนที่ฟังแล้วคล้อยตามแล้วปฏิบัติตามให้ได้ นั่นคือผู้นำยุคใหม่ เล่าเรื่อง
เพื่ออะไร เพื่อมีแรงกระตุ้นเพื่อแรงบันดาลใจ เพื่อให้เขาคล้อยตาม เพื่อให้เห็นด้วย เพื่อจะผลักดันสิ่งที่ไปสู่เป้าหมายได้ เหมือน
กับรัฐบาลจะต้องนำไป จากจุดเชิงยุทธศาสตร์หนึ่งไปสู่การเป็นเชิงวิสัยทัศน์ สมัยก่อนนี้เราต้องยอมรับว่าแม้กระทั่งการเป็นรัฐบาล
ยุทธศาสตร์ประจำก็คือแฟ้มมาก็เซ็นไป ถึงเวลานัดประชุมก็ประชุมไปถึงเวลานั้นก็ประชุม ประชุมเสร็จก็เดินตามแฟ้ม แฟ้มก็เดิน
ไปเรื่อย โลกหมุนเร็วกว่าการบริหารแบบประจำวันแล้ว วันนี้โลกต้องการมากกว่าการเป็นเพียงผู้นำเชิงยุทธศาสตร์ เพราะระบบ
การสื่อสารเปลี่ยนไป ฉะนั้นต้องนำทีละขั้น ๆ วันนี้เราต้องนำต้องบอกกันให้รู้ว่าเราจะผลักดันกันอย่างนี้แล้ว ทุกวันเราจะรู้ว่าเรา
กำลังจะไปกันที่จุดนี้
รัฐบาลนี้ต้องทำสงคราม 3 อย่าง
1. ทำสงครามกับความยากจน ต้องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเพื่อให้คนพ้นจากความยากจน ซึ่งจะทำให้มีฐานะดีขึ้น
ทั้งระบบ เหมือนกับยกฐานรากให้สูงขึ้น ตึกทั้งตึกก็สูงขึ้นตามเป็นลักษณะของการมีวิสัยทัศน์อย่างหนึ่งว่า เราจะประกาศสงคราม
กับความยากจน เพราะฉะนั้นเราจะสู้กับความยากจนอย่างเต็มที่เพื่อให้ชนะ
2. ประกาศสงครามกับยาเสพติด เราถือว่านี่คือปัญหาใหญ่ของชาติ เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อขจัด
ยาเสพติด
3. ประกาศสงครามกับคอร์รัปชั่น นั่นคือวิสัยทัศน์ที่บอกกับทุกท่านให้รู้ว่านี่คือภารกิจหลักในช่วงนี้
ช่วยกันพัฒนาให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
นอกเหนือจากเรื่องอื่นทั้งหมดนี่คือภารกิจหลักที่เราจะต้องทำ ผมจะมีกลไกการทำงานมีคณะทำงานของผมนอกเหนือ
จากรัฐมนตรี ผมจะมีทีมงานของผมอยู่ 3 ทีม วันนี้รัฐบาลเหลือ 36 คน รัฐมนตรีเมื่อก่อนมี 49 คน วันนี้เหลือ 36 คน เพราะ
ฉะนั้นวันนี้การมีน้อยก็ไม่ได้หมายความว่าประสิทธิภาพน้อย ต้องให้มีน้อยแล้วประสิทธิภาพมาก ญี่ปุ่นมี 13 คน ทั้งนายกรัฐมนตรี
แต่รัฐมนตรีทุกคนต้องมีทีมงาน ไม่ใช่มีมือหาเงิน เพราะฉะนั้นรัฐมนตรีต้องมีทีมงานเพื่อช่วยคิด ช่วยทำ ช่วยติดตามผลงาน ผม
ก็จะมี 3 ชุด
ชุดที่ 1 เป็นพวกนักฝัน ฝันแล้วก็เขียนเป็นนโยบาย แต่ฝันนั้นต้องฝันบนพื้นฐานของการได้มีแนวคิดจากข้างนอก
ชุดที่ 2 คือผู้ที่อำนวยความสะดวกในการทำงาน เช่น ชุดทางเศรษฐกิจ ชุดทางปฏิรูปกฎหมายของนายมีชัยฯ เป็นชุดที่
จะอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติการชุดแรกเป็นชุดฝัน ปรับเปลี่ยนแนวคิดนโยบายเพื่อให้ทันโลกทันเกณฑ์ ชุดที่ 2 คอยมาสนับ
สนุนผลักดันให้การปฏิบัติงานนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ชุดที่ 3 เป็นชุดที่ตรวจติดตามประเมินผล เพื่อให้มั่นใจว่านโยบายเปรียบเสมือน ยารักษาโรคนโยบายนั้นได้ทำแล้วมีผล
ข้างเคียงอะไร มีผลดีต่อการแก้ปัญหามากน้อยแค่ไหน มีผลข้างเคียงไหมแล้วไปทั่วถึงไหม เพราะฉะนั้น 3 กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่
ทำงานให้ผม แล้วผมจะทำหน้าที่คอยรับมาแล้วก็คิดต่อ เพราะฉะนั้นผมจะทำงานด้วยการใช้ความคิดมากที่สุดกับการผลักดันเป็น
หลัก ขอเรียนว่าหมดยุคคอร์รัปชั่นและซื้อขายตำแหน่งไม่มีในระดับรัฐบาล ระดับข้าราชการประจำต้องไม่มี ถ้ามีอะไรมาบอกผม
ได้ ผมมั่นใจว่ารัฐมนตรีผมไม่ทำ เพราะฉะนั้นห้ามแอบอ้างแล้วท่านทั้งหลายก็ต้องไม่ทำและไม่ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน
ทำด้วย บางกระทรวง ซี 7 ยังขายตำแหน่ง ผมว่ามันไม่ไหวแล้วทำเหมือนเซ้งห้องแถว ที่ไหนทำเลดีก็แพงหน่อย เพราะฉะนั้น
ตรงนี้ต้องหมดยุค ไม่มีเด็ดขาด ที่เคยชินกันมาผมเข้าใจเห็นใจครับ บางยุคการเมืองทำข้าราชการเลยทำตาม แต่ขอร้องว่ายุคนี้
ต้องไม่มี สงสารข้าราชการ ผมก็ข้าราชการเก่า ผมไม่สบายใจ ถ้าหากมีการซื้อขายตำแหน่ง วิ่งเต้นก็เป็นเรื่องธรรมดาของสังคม
ไทยมันขาดไม่ได้ แต่ขอตีกรอบให้วัวที่จะแข่งกันนั้นมีน้อยตัวหน่อย ตีกรอบให้ดีหน่อยถ้าไม่มีกรอบก็ไม่รู้ว่ามีกี่คนมาวิ่งกันอุตลุด
อันนั้นมันไม่ไหวคือให้มันมีกรอบแล้วกรอบนั้นต้องพยายามให้มันเป็นหลักเป็นเกณฑ์ แล้วก็ใช้นาน ๆ หน่อย ไม่ใช่ใช้ปีต่อปี บาง
ที 6 เดือนเปลี่ยนหนึ่งหน เพื่อตีความให้เข้ากับคนที่นายอยากได้อันนี้ผมว่าต้องเริ่มตีกรอบไว้ แต่อย่าตีกรอบคนของรัฐมนตรี เพื่อ
จะให้เป็นกรอบของตนเองมากเกินไปคือ ต้องมีหลักเกณฑ์ต้องมีคำตอบได้ทุกอย่าง อันนี้ขอฝากไว้ด้วย
ข้าราชการต้องทันโลก
เรากำลังจะต้องพัฒนาประเทศไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ให้ได้ เพราะว่าวันนี้โลกก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจบนฐาน
ความรู้ (Knowledge Based Economy) เป็นเศรษฐกิจที่ใช้ความรู้ใช้ปัญญาในการทำมาหากินมากขึ้น ๆ แต่ว่าเราเอง
ต้องพัฒนาตัวเองมากเพื่อจะเข้าไปสู่จุดนั้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ข้าราชการก็ต้องอ่านหนังสือ เพราะ
ว่านายกรัฐมนตรีขยันอ่านหนังสือ รัฐมนตรีผมก็ต้องอ่านหนังสือ ถ้าไม่เช่นนั้นท่านไม่ทันสมัย เดี๋ยวเราจะพูดเรื่องสัมมนาเชิง
ปฏิบัติการ ตอนสัมมนาเชิงปฏิบัติการนั้นจะรู้เลยว่าพูดออกมาแล้วพัฒนาตัวเองหรือเปล่า เพราะฉะนั้นท่านต้องพัฒนาตนเองถึง
แม้ว่าเรียนมา ผมพูดตลอดเวลาว่าคนจบดอกเตอร์เรียนจบไม่อ่านหนังสือ ก็ไม่ได้มีความเก่งกว่าคนที่จบปริญญาตรีแล้วอ่านหนังสือ
ทุกวัน เพราะที่เราเรียนแล้วจบมาแล้วนั้นมันล้าสมัยทันทีที่จบ เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก หนังสือออกวินาทีหนึ่งหลาย
ตำราหลายเล่มทั่วโลกนี้ เพราะฉะนั้นความรู้จะมีมากท่านต้องพัฒนาตัวเองมาก ไม่เช่นนั้นก็ไม่ทันจริง ๆ เพราะท่านกำลังเป็น
ผู้นำเป็นส่วนสำคัญของประเทศแล้ว ถ้าใครทำตัวเองทันสมัยแล้ว จะมีความสุขมีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ตกโลกไม่ล้าสมัย คุยกับ
ลูกได้ อันนั้นก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านต้องพัฒนา
แข่งขันกันด้วยความเร็วและแม่นยำ
เราต้องเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เราต้องพัฒนาตัวเองเข้าสู่ยุคของเศรษฐกิจที่ต้องแข่งขันกันบนพื้นฐานความรู้
วันนี้การที่จะเป็นเศรษฐกิจบนฐานความรู้นั้น ข้อมูลเมื่อก่อนนี้ตำราเก่าสมัยอัลวิน ท๊อฟเลอร์ ที่ตกรุ่นไปแล้วที่บอกว่าข้อมูลคือ
อำนาจ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว ข้อมูลมีมากต้องมีความสามารถในการหยิบว่าจะเลือกใช้ข้อมูลไหนและวิเคราะห์ข้อมูลให้ถูก จึงจะ
เกิดองค์ความรู้และองค์ความรู้ใหม่จะเกิดขึ้นต้องมีเรื่องของวิจัยพัฒนา สิ่งนี้เราขาดหมดเลยครับทั้งประเทศ ข้อมูลเราไม่มี
ข้อมูลที่ทันสมัยของโลกก็ไม่ค่อยได้สนใจจะดูจะฟัง ไม่รู้เราและก็ไม่รู้เขาแล้วจะแข่งยังไง ถ้าจะแข่งกันต้องรู้ทั้งเรารู้ทั้งเขา
เพราะฉะนั้นข้อมูลของเราต้องดีแล้วโลกข้างหน้ามันแข่งกันที่เศรษฐกิจความเร็ว แข่งกันที่ความเร็ว เร็วแล้วต้องแม่นยำ แม่นยำ
ก็ต้องมีข้อมูล ต้องวิเคราะห์ข้อมูลเป็น หยิบข้อมูลถูกจึงจะเร็วได้ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจใครเร็วคนนั้นได้เปรียบ ถ้าจะเร็ว
ต้องแม่น ความจริงแล้วความรู้บางอย่างไม่ใช่เฉพาะเราคิดขึ้นมาเราเก่งคนเดียวหรอก แต่ปรากฏว่าคนอื่นก็คิด แต่มันกระจาย
อยู่มีคนหนึ่งเข้าไปถึงคว้าเลย วิเคราะห์ถูก คว้ามาเร็วกว่าได้เปรียบ เหมือนนโยบายพรรคไทยรักไทย ทำไมผมเร็ว เพราะผม
มีข้อมูลพอ ผมรู้ว่าประชาชนกำลังต้องการอะไร ผมรู้ว่าประชาชนเดือดร้อนอะไรผมรู้เพราะผมพบกับประชาชน ผมก็ประกาศ
เลย กล้า เร็ว แม่นยำสำคัญ เพราะฉะนั้นวันนี้ประเทศไทยต้องพัฒนาตัวเองอย่างนี้ ต้องนำไปสู่การที่จะต้องพัฒนาข้อมูล
เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเราไม่มีทางเลยที่จะไปแข่งกับเขาได้ สิ่งที่เรามีความสำคัญละเอียดอันหนึ่งคือความหลากหลายทางชีวภาพ
แล้วโลกข้างหน้าจะผลักดันไปสองตัวคือ รูปแบบชีวิตกับเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร ผมกำลังมองว่าประเทศไทยมีข้อแข็งคือ มี
ความหลากหลายทางชีวภาพ
มุ่งไปสู่ E - Government
ขอฝากท่านที่เกี่ยวข้องคิดด้วยกัน ผมอยากจะมุ่งไปสู่รัฐบาลอิเล็กทรอนิคโลกยุคอินเตอร์เน็ต วันนี้หลายร้อยล้านคน
ทั่วโลกใช้อินเตอร์เน็ต แต่ของเราการเตรียมพร้อมเรื่องอินเตอร์เน็ตของเราต่ำมาก อาจจะด้วยประการทั้งปวงแต่ผมจะทะลวงค่า
บริการที่แพง เรื่องของการสื่อสาร องค์การโทรศัพท์ต่าง ๆ ต้องคุยกันเพื่อที่จะให้อินเตอร์เน็ตไปสู่ชาวบ้านให้มากที่สุด แน่นอน
ผมพูดเรื่องอินเตอร์เน็ตตำบลซึ่งรัฐบาลที่แล้วตั้งงบประมาณทิ้งไว้คือ คำว่าอินเตอร์เน็ตตำบลนั้นไปเน้นเฉพาะตัว T ต้องเน้นตัว
I ตัว ตัว T คือเราเน้นเฉพาะเทคโนโลยี จัดซื้อจัดหาเสร็จเรียบร้อยคือจบ นั่นคือล้มเหลวต้องเรื่องข้อมูลเราจะเอาอะไรไปใส่
สำคัญกว่าคำว่าเทคโนโลยี ก่อนอื่นเราต้องคิดว่าจะเอาอะไรไปใส่แล้วต้องการอะไรจากมัน แล้วค่อยไปดูเทคโนโลยี พอบอกว่าจะ
มีอินเตอร์เน็ตตำบล เตรียมจัดซื้อจัดหาตรงกันจะสร้างปัญหา เพราะฉะนั้นเราจะต้องมองให้ดีซึ่งอินเตอร์เน็ตตำบลนี่ ผมจะไป
เชื่อมโยงกับเรื่องของการส่งเสริม 1 ผลิตภัณฑ์ต่อ 1 ตำบล
สรุปแล้วก็คือ รัฐบาลอยากเห็นข้อมูลจากหน่วยเล็ก ๆ ของประเทศคือตำบล โยงขึ้นมาจนถึงกระทรวง นี่ผมกำลัง
หาให้คนมาช่วยออกแล้วคุยกับทางกระทรวง เพราะผมอยากกดคอมพิวเตอร์แล้วเห็นทันที เห็นว่าขณะนี้เดือนนี้สินค้าเกษตรตัว
ไหนจะออกพื้นที่เพาะปลูกเท่าไหร่ แล้วผลผลิตจะเป็นอย่างไร ความต้องการภายในเป็นเท่าไร การส่งออกเป็นอย่างไร ต้องดัก
ปัญหาล่วงหน้า วันนี้เราตั้งรับอย่างเดียวมีกลุ่มต่าง ๆ มาร้องเรียนเกี่ยวกับราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ แล้วเราก็มาทะเลาะกันรบ
ราฆ่าฟันตีกันเอง ตีกับคนจน เขาก็เดือดร้อน เราก็เดือดร้อนวันนี้เราจะต้องมานั่งดักปัญหาล่วงหน้า ข้อมูลต้องมีผมจำได้ครั้ง
หนึ่งตอนผมเป็นตำรวจ ตอนผมจบปริญญาเอกมาจากเมืองนอกเป็นหัวหน้าแผนกแผนกองวิจัยวางแผน รัฐมนตรีช่วยว่าการ
กระทรวงมหาดไทยต้องการตัวเลขจำนวนคดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่ในภาคใต้ 7 วันยังหาไม่ได้เพราะเอกสารกองท่วม เพราะ
ไม่มีระบบข้อมูล แต่สมัยนี้มีอยู่แล้วผมยังเชื่อว่าหลายกระทรวงวันนี้ยังไม่ค่อยได้ทำ ทั้ง ๆ ที่เวลานี้คอมพิวเตอร์ถูกและใช้ง่าย
ที่โรงเรียนบ้านสันกำแพงผมให้ทุนเขาไปทำห้องแล็ปคอมพิวเตอร์ เด็กประถมปีที่ 4 นั่งเล่นอินเตอร์เน็ต ไม่ใช่เรื่องยากผมเชื่อ
ว่าหลายคนเกิน 50 เปอร์เซ็นต์เล่น แต่ใครที่ไม่เล่นอย่าคิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องยาก ความจริงก็คือน้อง ๆ พิมพ์ดีดสมัยเก่า
เพราะฉะนั้นก็เล่นหน่อยเพื่อท่านจะได้ทันสมัย เสร็จแล้วเรามาคิดร่วมกันอีกทีว่าเราจะทำเว็บไซต์ของแต่ละกระทรวงอย่างไร
อยากให้กระทรวงมีอินเตอร์เน็ตของตัวเองแล้วกลายเป็นอินเตอร์เน็ตของรัฐบาล เดี๋ยวเราต้องมาวางดีไซน์ระบบกันหน่อย ซึ่ง
ความจริงไม่ได้เป็นเรื่องใช้เงินมากเงินกับการสูญเสียในการทำงานที่ไม่เป็นทางการมากกว่า พวกนี้จะเป็นทางการกว่าและเร็ว
ทั้งนี้ผมไม่ได้หวังว่า 3 เดือนเสร็จ เราคิดว่าทุกอย่างมันใช้เวลาเพียงแต่ว่าผมบอกให้รู้กำลังและทิศทางการสื่อสารให้ท่านฟัง
ปรับปรุงวิธีการทำงานของรัฐบาล
รัฐบาลจะปรับปรุงวิธีการทำงานใหม่พอสมควร เริ่มตั้งแต่การประชุมคณะรัฐมนตรีผมไม่อยากให้ข้าราชการต้อง
เสียเวลาวันอังคาร 1 วัน มานั่งตั้งแต่เก้าโมงเช้า ห้าโมงเย็นถึงได้กลับบ้าน บางทีก็ไม่ได้ชี้แจง ปลัดกระทรวงก็มานั่งรอ อธิบดี
ก็มานั่งรอเป็นแถว เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจะใช้วิธีอย่างนี้เราประชุมคณะรัฐมนตรี 08.30 น. ออกจากบ้านจะตรงเจ้าประชุมคณะ
รัฐมนตรีเลย เพราะถ้าประชุม 09.30 น. รัฐมนตรีต้องเข้ากระทรวงก่อนแล้วมาช้า เพราะวาระของตัวเองอยู่ลำดับ 3 - 4 พอ
ตอนคุยเรื่องยุทธศาสตร์ รัฐมนตรีบางคนยังไม่มาก็เลยไม่รู้ว่าใครจะนั่งทำยุทธศาสตร์ เพราะฉะนั้นก็เลยประชุม 08.30 น.
ครึ่งวันเสร็จแล้วครับ ข้าราชการจะชี้แจงก็มาช่วงสั้น อีกครึ่งวันยังได้ทำงานอย่าเสียเวลาทั้งวันเลย การเสียเวลาผมถือเป็นเรื่อง
ใหญ่ สาเหตุที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้สั้นลงจะได้เนื้อหามาก เพราะเราจะนำเรื่องเข้าไปในคณะรัฐมนตรีน้อยที่สุด ส่วนใหญ่
จะเป็นเรื่องเพื่อทราบเพราะถือว่าต้องไปอ่านหนังสือเอง ต้องมีทีมงานเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็จะนำมาพูดกัน เรื่องพิจารณา
จะน้อยลง เรื่องเพื่อทราบก็จะแบ่งงานไปตามสายนั้น รัฐมนตรีว่าการเข้าประชุมชุดนี้ไม่ได้เพราะต้องประชุมพร้อมกัน ก็ให้
รัฐมนตรีช่วยฯ เข้าแทน เรื่องไหนสำคัญปลัดกระทรวงไม่เข้าก็ให้อธิบดีไปแทนได้ รองปลัดกระทรวงไปแทนได้ จะมีคณะ
กรรมการกลั่นกรอง 5 ชุด ความสำคัญขอให้อยู่ที่เนื้อเรื่อง อย่าไปสำคัญที่ตัวรองนายกฯ เอาเนื้อเรื่องเป็นหลัก วันนี้ขอให้
เป็นเรื่องของคำว่า "ใคร" น้อยลงไป
(อ่านต่อฉบับหน้า)
********************
|