: : : รายละเอียดข่าว : : :

ข่าว ปีที่ :ข่าวปีที่ 5 ฉบับที่ 05 ประจำเดือน 05 2544
หัวข้อข่าว : คำกล่าวของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) ในการประชุมชี้แจงนโยบายของรัฐบาลฯ (ต่อ)
รายละเอียด :
                    สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือรัฐบาลจะทำงานเชิงรุก  ผมต้องเตือนตัวเองตลอดเวลา  ถ้าผมเผลอเมื่อไหร่ผมต้องตั้งรับ  

ถ้าผมตั้งรับเมื่อไหร่รับรองเลยว่าผลักดันประเทศนี้เคลื่อนต่อไปไม่ไหว  เพราะปัญหามันรุมเร้า  ปัญหาเยอะมาก  แฟ้มก็รุมเร้า  ถ้า

หากเรานั่งดูแฟ้มทั้งหมด  ทับตัวตายหมด  สมองไม่ทำงาน  ฉะนั้นผมจึงกระจายอำนาจมากที่สุดและจะแบ่งงานอีก  แต่วันนี้ยังแบ่ง

งานไม่เต็มที่เพราะว่าอยากจะเห็นสายของงานนิดหนึ่ง  แต่ถ้าเมื่อไรผมจะทำงานเชิงรุกแล้ว  ผมจะต้องแบ่งงานออกทั้งหมด  เพราะ

ผมต้องการใช้โอกาสที่เราได้มานั่งทำงานตรงนี้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดก็คือ  ใช้สมองของเราให้มากที่สุด  ใช้ประสบการณ์มากที่สุด  

ใช้การประสานงานให้มากที่สุด  ฉะนั้นถ้าผมนั่งเซ็นแฟ้มทุกวัน  เรื่องมะโนสาเร่ก็เซ็น  ตรงนี้ผมจะตั้งรับเลย  ฉะนั้นผมจะทำงาน

เชิงรุก  ส่วนรัฐมนตรีก็เป็นชั้น  ๆ  ไป  รัฐมนตรีต้องรุกในส่วนของกระทรวงและต้องรับสิ่งที่เป็นภาพรวมของประเทศที่มาจาก

นายกรัฐมนตรี  มาจากมติคณะรัฐมนตรี  ข้าราชการก็ต้องรุกในส่วนของท่าน  ท่านต้องรับในส่วนของข้างบน  แต่ถ้าท่านไม่รุกเลย

ท่านรับอย่างเดียว  หน่วยงานของท่านจะเป็นหน่วยงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ  ท่านจะเห็นความเปลี่ยนแปลง  ผมพูดทำนายไว้เลยถ้า

ท่านรุก  ต่อไปท่านจะกลายเป็นคนที่มีความสามารถ  ท่านจะเป็นคนไม่มีความสามารถทันทีถ้าท่านตั้งรับ  ในโลกยุคนี้จะกลายเป็น

คนที่ไม่มีประสิทธิภาพทันที  ฉะนั้นท่าต้องรุกและรับ  ผมจะบริหารจากเชิงยุทธศาสตร์ไปสู่เชิงวิสัยทัศน์  เพราะว่าการบริหารเชิง

ยุทธศาสตร์กับการบริหารเชิงวิสัยทัศน์นั้นมีความแตกต่างกัน  รูปแบบยุทธศาสตร์นั้นคือเรียกร้องและสั่งการ  แต่รูปแบบของเชิง

วิสัยทัศน์คือจะต้องสื่อสาร  ต้องสื่อสารให้คนได้เห็นว่าเราจะไปตรงไหนกัน  อย่างวอลดิสนีย์เขามีวิสัยทัศน์ของเขาว่าต้องการทำ

ให้คนมีความสุข  ฉะนั้นเขาจะทำทุกอย่างที่ทำให้คนมีความสุข  นั่นคือวิสัยทัศน์ของเขา  ง่าย  ๆ  บรรทัดเดียว  ฉะนั้นเราจะต้อง

สร้างวิสัยทัศน์ให้กับคนที่เป็นผู้ที่เราจะบริหารหรือที่จะตามกันมาเป็นผู้ตาม  เราได้รู้ว่าเราจะไปตรงไหนมากกว่าที่จะเป็นลักษณะ

เรียกร้องและสั่งการ  เพราะลักษณะนี้เป็นลักษณะแบบการนำภายในออกไป  จะเป็นเชิงวิสัยทัศน์ก็คือการที่เราจะต้องเป็นผู้นำในยุค

ใหม่  จะต้องเป็นนักเล่าเรื่อง  เป็นคนที่เล่าเรื่องได้ดี  เพื่อให้คนที่ฟังแล้วคล้อยตามแล้วปฏิบัติตามให้ได้  นั่นคือผู้นำยุคใหม่  เล่าเรื่อง

เพื่ออะไร  เพื่อมีแรงกระตุ้นเพื่อแรงบันดาลใจ  เพื่อให้เขาคล้อยตาม  เพื่อให้เห็นด้วย  เพื่อจะผลักดันสิ่งที่ไปสู่เป้าหมายได้  เหมือน

กับรัฐบาลจะต้องนำไป  จากจุดเชิงยุทธศาสตร์หนึ่งไปสู่การเป็นเชิงวิสัยทัศน์  สมัยก่อนนี้เราต้องยอมรับว่าแม้กระทั่งการเป็นรัฐบาล  

ยุทธศาสตร์ประจำก็คือแฟ้มมาก็เซ็นไป  ถึงเวลานัดประชุมก็ประชุมไปถึงเวลานั้นก็ประชุม  ประชุมเสร็จก็เดินตามแฟ้ม  แฟ้มก็เดิน

ไปเรื่อย  โลกหมุนเร็วกว่าการบริหารแบบประจำวันแล้ว  วันนี้โลกต้องการมากกว่าการเป็นเพียงผู้นำเชิงยุทธศาสตร์  เพราะระบบ

การสื่อสารเปลี่ยนไป  ฉะนั้นต้องนำทีละขั้น  ๆ  วันนี้เราต้องนำต้องบอกกันให้รู้ว่าเราจะผลักดันกันอย่างนี้แล้ว  ทุกวันเราจะรู้ว่าเรา

กำลังจะไปกันที่จุดนี้

         รัฐบาลนี้ต้องทำสงคราม  3  อย่าง

         1.  ทำสงครามกับความยากจน  ต้องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเพื่อให้คนพ้นจากความยากจน  ซึ่งจะทำให้มีฐานะดีขึ้น

ทั้งระบบ  เหมือนกับยกฐานรากให้สูงขึ้น  ตึกทั้งตึกก็สูงขึ้นตามเป็นลักษณะของการมีวิสัยทัศน์อย่างหนึ่งว่า  เราจะประกาศสงคราม

กับความยากจน  เพราะฉะนั้นเราจะสู้กับความยากจนอย่างเต็มที่เพื่อให้ชนะ

         2.  ประกาศสงครามกับยาเสพติด  เราถือว่านี่คือปัญหาใหญ่ของชาติ  เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อขจัด

ยาเสพติด

         3.  ประกาศสงครามกับคอร์รัปชั่น  นั่นคือวิสัยทัศน์ที่บอกกับทุกท่านให้รู้ว่านี่คือภารกิจหลักในช่วงนี้

         ช่วยกันพัฒนาให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้

         นอกเหนือจากเรื่องอื่นทั้งหมดนี่คือภารกิจหลักที่เราจะต้องทำ  ผมจะมีกลไกการทำงานมีคณะทำงานของผมนอกเหนือ

จากรัฐมนตรี  ผมจะมีทีมงานของผมอยู่  3  ทีม  วันนี้รัฐบาลเหลือ  36  คน  รัฐมนตรีเมื่อก่อนมี  49  คน  วันนี้เหลือ  36  คน  เพราะ

ฉะนั้นวันนี้การมีน้อยก็ไม่ได้หมายความว่าประสิทธิภาพน้อย  ต้องให้มีน้อยแล้วประสิทธิภาพมาก  ญี่ปุ่นมี  13  คน  ทั้งนายกรัฐมนตรี  

แต่รัฐมนตรีทุกคนต้องมีทีมงาน  ไม่ใช่มีมือหาเงิน  เพราะฉะนั้นรัฐมนตรีต้องมีทีมงานเพื่อช่วยคิด  ช่วยทำ  ช่วยติดตามผลงาน  ผม

ก็จะมี  3  ชุด

             ชุดที่  1  เป็นพวกนักฝัน  ฝันแล้วก็เขียนเป็นนโยบาย  แต่ฝันนั้นต้องฝันบนพื้นฐานของการได้มีแนวคิดจากข้างนอก

             ชุดที่  2  คือผู้ที่อำนวยความสะดวกในการทำงาน  เช่น  ชุดทางเศรษฐกิจ  ชุดทางปฏิรูปกฎหมายของนายมีชัยฯ  เป็นชุดที่

จะอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติการชุดแรกเป็นชุดฝัน  ปรับเปลี่ยนแนวคิดนโยบายเพื่อให้ทันโลกทันเกณฑ์  ชุดที่  2  คอยมาสนับ

สนุนผลักดันให้การปฏิบัติงานนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

              ชุดที่  3  เป็นชุดที่ตรวจติดตามประเมินผล  เพื่อให้มั่นใจว่านโยบายเปรียบเสมือน  ยารักษาโรคนโยบายนั้นได้ทำแล้วมีผล

ข้างเคียงอะไร  มีผลดีต่อการแก้ปัญหามากน้อยแค่ไหน  มีผลข้างเคียงไหมแล้วไปทั่วถึงไหม  เพราะฉะนั้น  3  กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่

ทำงานให้ผม  แล้วผมจะทำหน้าที่คอยรับมาแล้วก็คิดต่อ  เพราะฉะนั้นผมจะทำงานด้วยการใช้ความคิดมากที่สุดกับการผลักดันเป็น

หลัก  ขอเรียนว่าหมดยุคคอร์รัปชั่นและซื้อขายตำแหน่งไม่มีในระดับรัฐบาล  ระดับข้าราชการประจำต้องไม่มี  ถ้ามีอะไรมาบอกผม

ได้  ผมมั่นใจว่ารัฐมนตรีผมไม่ทำ  เพราะฉะนั้นห้ามแอบอ้างแล้วท่านทั้งหลายก็ต้องไม่ทำและไม่ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน

ทำด้วย  บางกระทรวง  ซี  7  ยังขายตำแหน่ง  ผมว่ามันไม่ไหวแล้วทำเหมือนเซ้งห้องแถว  ที่ไหนทำเลดีก็แพงหน่อย  เพราะฉะนั้น

ตรงนี้ต้องหมดยุค  ไม่มีเด็ดขาด  ที่เคยชินกันมาผมเข้าใจเห็นใจครับ  บางยุคการเมืองทำข้าราชการเลยทำตาม  แต่ขอร้องว่ายุคนี้

ต้องไม่มี  สงสารข้าราชการ  ผมก็ข้าราชการเก่า  ผมไม่สบายใจ  ถ้าหากมีการซื้อขายตำแหน่ง  วิ่งเต้นก็เป็นเรื่องธรรมดาของสังคม

ไทยมันขาดไม่ได้  แต่ขอตีกรอบให้วัวที่จะแข่งกันนั้นมีน้อยตัวหน่อย  ตีกรอบให้ดีหน่อยถ้าไม่มีกรอบก็ไม่รู้ว่ามีกี่คนมาวิ่งกันอุตลุด  

อันนั้นมันไม่ไหวคือให้มันมีกรอบแล้วกรอบนั้นต้องพยายามให้มันเป็นหลักเป็นเกณฑ์  แล้วก็ใช้นาน  ๆ  หน่อย  ไม่ใช่ใช้ปีต่อปี  บาง

ที  6  เดือนเปลี่ยนหนึ่งหน  เพื่อตีความให้เข้ากับคนที่นายอยากได้อันนี้ผมว่าต้องเริ่มตีกรอบไว้  แต่อย่าตีกรอบคนของรัฐมนตรี  เพื่อ

จะให้เป็นกรอบของตนเองมากเกินไปคือ  ต้องมีหลักเกณฑ์ต้องมีคำตอบได้ทุกอย่าง  อันนี้ขอฝากไว้ด้วย

         ข้าราชการต้องทันโลก

         เรากำลังจะต้องพัฒนาประเทศไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ให้ได้  เพราะว่าวันนี้โลกก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจบนฐาน

ความรู้  (Knowledge  Based  Economy)  เป็นเศรษฐกิจที่ใช้ความรู้ใช้ปัญญาในการทำมาหากินมากขึ้น  ๆ  แต่ว่าเราเอง

ต้องพัฒนาตัวเองมากเพื่อจะเข้าไปสู่จุดนั้น  เพราะฉะนั้นเราจะต้องเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้  ข้าราชการก็ต้องอ่านหนังสือ  เพราะ

ว่านายกรัฐมนตรีขยันอ่านหนังสือ  รัฐมนตรีผมก็ต้องอ่านหนังสือ  ถ้าไม่เช่นนั้นท่านไม่ทันสมัย  เดี๋ยวเราจะพูดเรื่องสัมมนาเชิง

ปฏิบัติการ  ตอนสัมมนาเชิงปฏิบัติการนั้นจะรู้เลยว่าพูดออกมาแล้วพัฒนาตัวเองหรือเปล่า  เพราะฉะนั้นท่านต้องพัฒนาตนเองถึง

แม้ว่าเรียนมา  ผมพูดตลอดเวลาว่าคนจบดอกเตอร์เรียนจบไม่อ่านหนังสือ  ก็ไม่ได้มีความเก่งกว่าคนที่จบปริญญาตรีแล้วอ่านหนังสือ

ทุกวัน  เพราะที่เราเรียนแล้วจบมาแล้วนั้นมันล้าสมัยทันทีที่จบ  เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก  หนังสือออกวินาทีหนึ่งหลาย

ตำราหลายเล่มทั่วโลกนี้  เพราะฉะนั้นความรู้จะมีมากท่านต้องพัฒนาตัวเองมาก  ไม่เช่นนั้นก็ไม่ทันจริง  ๆ  เพราะท่านกำลังเป็น

ผู้นำเป็นส่วนสำคัญของประเทศแล้ว  ถ้าใครทำตัวเองทันสมัยแล้ว  จะมีความสุขมีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ตกโลกไม่ล้าสมัย  คุยกับ

ลูกได้  อันนั้นก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านต้องพัฒนา

         แข่งขันกันด้วยความเร็วและแม่นยำ

         เราต้องเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้  เราต้องพัฒนาตัวเองเข้าสู่ยุคของเศรษฐกิจที่ต้องแข่งขันกันบนพื้นฐานความรู้  

วันนี้การที่จะเป็นเศรษฐกิจบนฐานความรู้นั้น  ข้อมูลเมื่อก่อนนี้ตำราเก่าสมัยอัลวิน  ท๊อฟเลอร์  ที่ตกรุ่นไปแล้วที่บอกว่าข้อมูลคือ

อำนาจ  เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว  ข้อมูลมีมากต้องมีความสามารถในการหยิบว่าจะเลือกใช้ข้อมูลไหนและวิเคราะห์ข้อมูลให้ถูก  จึงจะ

เกิดองค์ความรู้และองค์ความรู้ใหม่จะเกิดขึ้นต้องมีเรื่องของวิจัยพัฒนา  สิ่งนี้เราขาดหมดเลยครับทั้งประเทศ  ข้อมูลเราไม่มี  

ข้อมูลที่ทันสมัยของโลกก็ไม่ค่อยได้สนใจจะดูจะฟัง  ไม่รู้เราและก็ไม่รู้เขาแล้วจะแข่งยังไง  ถ้าจะแข่งกันต้องรู้ทั้งเรารู้ทั้งเขา  

เพราะฉะนั้นข้อมูลของเราต้องดีแล้วโลกข้างหน้ามันแข่งกันที่เศรษฐกิจความเร็ว  แข่งกันที่ความเร็ว  เร็วแล้วต้องแม่นยำ  แม่นยำ

ก็ต้องมีข้อมูล  ต้องวิเคราะห์ข้อมูลเป็น  หยิบข้อมูลถูกจึงจะเร็วได้  เพราะฉะนั้นการตัดสินใจใครเร็วคนนั้นได้เปรียบ  ถ้าจะเร็ว

ต้องแม่น  ความจริงแล้วความรู้บางอย่างไม่ใช่เฉพาะเราคิดขึ้นมาเราเก่งคนเดียวหรอก  แต่ปรากฏว่าคนอื่นก็คิด  แต่มันกระจาย

อยู่มีคนหนึ่งเข้าไปถึงคว้าเลย  วิเคราะห์ถูก  คว้ามาเร็วกว่าได้เปรียบ  เหมือนนโยบายพรรคไทยรักไทย  ทำไมผมเร็ว  เพราะผม

มีข้อมูลพอ  ผมรู้ว่าประชาชนกำลังต้องการอะไร  ผมรู้ว่าประชาชนเดือดร้อนอะไรผมรู้เพราะผมพบกับประชาชน  ผมก็ประกาศ

เลย  กล้า  เร็ว  แม่นยำสำคัญ  เพราะฉะนั้นวันนี้ประเทศไทยต้องพัฒนาตัวเองอย่างนี้  ต้องนำไปสู่การที่จะต้องพัฒนาข้อมูล  

เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเราไม่มีทางเลยที่จะไปแข่งกับเขาได้  สิ่งที่เรามีความสำคัญละเอียดอันหนึ่งคือความหลากหลายทางชีวภาพ  

แล้วโลกข้างหน้าจะผลักดันไปสองตัวคือ  รูปแบบชีวิตกับเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร  ผมกำลังมองว่าประเทศไทยมีข้อแข็งคือ  มี

ความหลากหลายทางชีวภาพ

         มุ่งไปสู่  E - Government

         ขอฝากท่านที่เกี่ยวข้องคิดด้วยกัน  ผมอยากจะมุ่งไปสู่รัฐบาลอิเล็กทรอนิคโลกยุคอินเตอร์เน็ต  วันนี้หลายร้อยล้านคน

ทั่วโลกใช้อินเตอร์เน็ต  แต่ของเราการเตรียมพร้อมเรื่องอินเตอร์เน็ตของเราต่ำมาก  อาจจะด้วยประการทั้งปวงแต่ผมจะทะลวงค่า

บริการที่แพง  เรื่องของการสื่อสาร  องค์การโทรศัพท์ต่าง  ๆ  ต้องคุยกันเพื่อที่จะให้อินเตอร์เน็ตไปสู่ชาวบ้านให้มากที่สุด  แน่นอน

ผมพูดเรื่องอินเตอร์เน็ตตำบลซึ่งรัฐบาลที่แล้วตั้งงบประมาณทิ้งไว้คือ  คำว่าอินเตอร์เน็ตตำบลนั้นไปเน้นเฉพาะตัว  T  ต้องเน้นตัว  

I  ตัว  ตัว  T  คือเราเน้นเฉพาะเทคโนโลยี  จัดซื้อจัดหาเสร็จเรียบร้อยคือจบ  นั่นคือล้มเหลวต้องเรื่องข้อมูลเราจะเอาอะไรไปใส่  

สำคัญกว่าคำว่าเทคโนโลยี  ก่อนอื่นเราต้องคิดว่าจะเอาอะไรไปใส่แล้วต้องการอะไรจากมัน  แล้วค่อยไปดูเทคโนโลยี  พอบอกว่าจะ

มีอินเตอร์เน็ตตำบล  เตรียมจัดซื้อจัดหาตรงกันจะสร้างปัญหา  เพราะฉะนั้นเราจะต้องมองให้ดีซึ่งอินเตอร์เน็ตตำบลนี่  ผมจะไป

เชื่อมโยงกับเรื่องของการส่งเสริม  1  ผลิตภัณฑ์ต่อ  1  ตำบล

         สรุปแล้วก็คือ  รัฐบาลอยากเห็นข้อมูลจากหน่วยเล็ก  ๆ  ของประเทศคือตำบล  โยงขึ้นมาจนถึงกระทรวง  นี่ผมกำลัง

หาให้คนมาช่วยออกแล้วคุยกับทางกระทรวง  เพราะผมอยากกดคอมพิวเตอร์แล้วเห็นทันที  เห็นว่าขณะนี้เดือนนี้สินค้าเกษตรตัว

ไหนจะออกพื้นที่เพาะปลูกเท่าไหร่  แล้วผลผลิตจะเป็นอย่างไร  ความต้องการภายในเป็นเท่าไร  การส่งออกเป็นอย่างไร  ต้องดัก

ปัญหาล่วงหน้า  วันนี้เราตั้งรับอย่างเดียวมีกลุ่มต่าง  ๆ  มาร้องเรียนเกี่ยวกับราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ  แล้วเราก็มาทะเลาะกันรบ

ราฆ่าฟันตีกันเอง  ตีกับคนจน  เขาก็เดือดร้อน  เราก็เดือดร้อนวันนี้เราจะต้องมานั่งดักปัญหาล่วงหน้า  ข้อมูลต้องมีผมจำได้ครั้ง

หนึ่งตอนผมเป็นตำรวจ  ตอนผมจบปริญญาเอกมาจากเมืองนอกเป็นหัวหน้าแผนกแผนกองวิจัยวางแผน  รัฐมนตรีช่วยว่าการ

กระทรวงมหาดไทยต้องการตัวเลขจำนวนคดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่ในภาคใต้  7  วันยังหาไม่ได้เพราะเอกสารกองท่วม  เพราะ

ไม่มีระบบข้อมูล  แต่สมัยนี้มีอยู่แล้วผมยังเชื่อว่าหลายกระทรวงวันนี้ยังไม่ค่อยได้ทำ  ทั้ง  ๆ  ที่เวลานี้คอมพิวเตอร์ถูกและใช้ง่าย  

ที่โรงเรียนบ้านสันกำแพงผมให้ทุนเขาไปทำห้องแล็ปคอมพิวเตอร์  เด็กประถมปีที่  4  นั่งเล่นอินเตอร์เน็ต  ไม่ใช่เรื่องยากผมเชื่อ

ว่าหลายคนเกิน  50  เปอร์เซ็นต์เล่น  แต่ใครที่ไม่เล่นอย่าคิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องยาก  ความจริงก็คือน้อง  ๆ  พิมพ์ดีดสมัยเก่า  

เพราะฉะนั้นก็เล่นหน่อยเพื่อท่านจะได้ทันสมัย  เสร็จแล้วเรามาคิดร่วมกันอีกทีว่าเราจะทำเว็บไซต์ของแต่ละกระทรวงอย่างไร  

อยากให้กระทรวงมีอินเตอร์เน็ตของตัวเองแล้วกลายเป็นอินเตอร์เน็ตของรัฐบาล  เดี๋ยวเราต้องมาวางดีไซน์ระบบกันหน่อย  ซึ่ง

ความจริงไม่ได้เป็นเรื่องใช้เงินมากเงินกับการสูญเสียในการทำงานที่ไม่เป็นทางการมากกว่า  พวกนี้จะเป็นทางการกว่าและเร็ว  

ทั้งนี้ผมไม่ได้หวังว่า  3  เดือนเสร็จ  เราคิดว่าทุกอย่างมันใช้เวลาเพียงแต่ว่าผมบอกให้รู้กำลังและทิศทางการสื่อสารให้ท่านฟัง

         ปรับปรุงวิธีการทำงานของรัฐบาล

         รัฐบาลจะปรับปรุงวิธีการทำงานใหม่พอสมควร  เริ่มตั้งแต่การประชุมคณะรัฐมนตรีผมไม่อยากให้ข้าราชการต้อง

เสียเวลาวันอังคาร  1  วัน  มานั่งตั้งแต่เก้าโมงเช้า  ห้าโมงเย็นถึงได้กลับบ้าน  บางทีก็ไม่ได้ชี้แจง  ปลัดกระทรวงก็มานั่งรอ  อธิบดี

ก็มานั่งรอเป็นแถว  เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจะใช้วิธีอย่างนี้เราประชุมคณะรัฐมนตรี  08.30  น.  ออกจากบ้านจะตรงเจ้าประชุมคณะ

รัฐมนตรีเลย  เพราะถ้าประชุม  09.30  น.  รัฐมนตรีต้องเข้ากระทรวงก่อนแล้วมาช้า  เพราะวาระของตัวเองอยู่ลำดับ  3 - 4  พอ

ตอนคุยเรื่องยุทธศาสตร์  รัฐมนตรีบางคนยังไม่มาก็เลยไม่รู้ว่าใครจะนั่งทำยุทธศาสตร์  เพราะฉะนั้นก็เลยประชุม  08.30  น.  

ครึ่งวันเสร็จแล้วครับ  ข้าราชการจะชี้แจงก็มาช่วงสั้น  อีกครึ่งวันยังได้ทำงานอย่าเสียเวลาทั้งวันเลย  การเสียเวลาผมถือเป็นเรื่อง

ใหญ่  สาเหตุที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้สั้นลงจะได้เนื้อหามาก  เพราะเราจะนำเรื่องเข้าไปในคณะรัฐมนตรีน้อยที่สุด  ส่วนใหญ่

จะเป็นเรื่องเพื่อทราบเพราะถือว่าต้องไปอ่านหนังสือเอง  ต้องมีทีมงานเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย  ก็จะนำมาพูดกัน  เรื่องพิจารณา

จะน้อยลง  เรื่องเพื่อทราบก็จะแบ่งงานไปตามสายนั้น  รัฐมนตรีว่าการเข้าประชุมชุดนี้ไม่ได้เพราะต้องประชุมพร้อมกัน  ก็ให้

รัฐมนตรีช่วยฯ  เข้าแทน  เรื่องไหนสำคัญปลัดกระทรวงไม่เข้าก็ให้อธิบดีไปแทนได้  รองปลัดกระทรวงไปแทนได้  จะมีคณะ

กรรมการกลั่นกรอง  5  ชุด  ความสำคัญขอให้อยู่ที่เนื้อเรื่อง  อย่าไปสำคัญที่ตัวรองนายกฯ  เอาเนื้อเรื่องเป็นหลัก  วันนี้ขอให้

เป็นเรื่องของคำว่า  "ใคร"  น้อยลงไป



                                                           (อ่านต่อฉบับหน้า)



                                                                                    ********************

โดย : 192.168.128.10 * [ วันที่ 2002-05-01 14:23:41 ]