รายละเอียด :
|
การดูงานด้านการบริหารพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะและการจัดการเรียนการสอนศิลปะในสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 5 - 31
มีนาคม 2544 (โดย รศ. วุฒิ วัฒนสิน แผนกวิชาศิลปศึกษา คณะศึกษาศาสตร์)
สภาศิลปกรรมไทยสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีศิลปินแห่งชาติ ดร. กมล ทัศนาญชลี เป็นประธานสภาฯ บริหารร่วมกับกรรมการ
ผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายท่าน ได้จัดโครงการส่งเสริมและสนับสนุนบุคลากรในแวดวงศิลปะของเมืองไทยในทุกสาขาและทุกสถาบัน ให้ได้
มีโอกาสเดินทางมาศึกษาดูงานการบริหารพิพิธภัณฑ์ศิลปะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางด้านศิลปะกับศิลปินนักวิชาการที่พำนักในสหรัฐ
อเมริกา กิจกรรมสร้างสรรค์นี้ได้ทำติดต่อกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 จนถึงปัจจุบัน ได้มีบุคคลในวงการศิลปะของเมืองไทยได้รับเชิญ
มาร่วมในโครงการนี้กว่า 200 คน ซึ่งแต่ละท่านได้นำประสบการณ์และความรู้ที่ได้รับกลับมาพัฒนาและยกมาตรฐานให้วงการศิลปะ
ในเมืองไทยมีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น
ระหว่างวันที่ 5 - 31 มีนาคม 2544 สภาศิลปะกรรมไทยสหรัฐอเมริกา ได้เชิญบุคลากรในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตปัตตานี จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ อาจารย์สมบูรณ์ ธนะสุข ผู้อำนวยการโครงการจัดตั้งสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา
อาจารย์พิเชษฐ เปียร์กลิ่น รองผู้อำนวยการโครงการจัดตั้งสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา รศ. วุฒิ วัฒนสิน แผนกวิชาศิลปศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์ คณะดูงานได้เยี่ยมชมการบริหารพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีชื่อเสียงในลอสแอลเจลลิสและใกล้เคียงเช่น LOS ANGELES
COUNTY MUSUEM OF ART (LACMA) , PALM SPRINGS DESERT MUSUEM , NORTON SIMON
MUSUEM , GETTY CENTER , BERGAMOT STATION , THE MUSUEM OF CONTEMPORARY
ART (MOCA) , CALIFORNIA INSTITUTE OF THE ARTS , SAN FRANCISCO MUSUEM OF
MODERN ART , OAKLAND MUSUEM OF CALIFORNIA เป็นต้น
รศ. วุฒิ วัฒนสิน กล่าวว่าตลอดระยะเวลาที่ได้ดูงานได้รับความรู้และประสบการณ์ใหม่ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ดร. กมล
ทัศนาญชลี ได้เปิดโลกทัศน์ทางศิลปกรรมให้แก่คณะผู้ดูงานอย่างมากมาย ทุกคนได้รับประสบการณ์สุนทรียะ เพราะได้มีโอกาสเห็นโลก
แห่งความเป็นจริงของศิลปกรรมชิ้นเยี่ยมของโลก ได้รับความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ เพราะได้เห็นถึงความเป็นไปของกระแสศิลป
กรรมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันที่ได้รับรวมไว้อย่างเป็นระบบในพิพิธภัณฑ์ ได้รับความรู้ทางด้านศิลปะปฏิบัติ เพราะได้มีโอกาสเยี่ยมชม สังเกต
พูดคุยกับศิลปินอาชีพและนักวิชาการ อีกทั้งยังได้ปฏิบัติการวาดภาพนอกสถานที่ตามที่ต่าง ๆ ประการที่สำคัญคือได้รับความรู้ในด้านการ
จัดการพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ตั้งแต่การอนุรักษ์งานศิลปะ (CONSERVATION) เทคนิคการจัดนิทรรศการศิลปะ การจัดนิทรรศการหมุน
เวียน การจัดนิทรรศการถาวร และการบริหารพิพิธภัณฑ์ คิดว่าจะนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการดูงานครั้งนี้มาปรับปรุงการ
จัดการเรียนการสอนวิชาศิลปศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ในโอกาสต่อไป
ในโอกาสนี้ ดร. กมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ ปี 2542 ได้ให้ข้อคิดที่น่าสนใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับการพัฒนาวงการศิลป
กรรมในเมืองไทยว่า การพัฒนาศิลปกรรมในประเทศไทยต้องเริ่มต้นด้วยการปฏิรูปโครงสร้างหลักสูตรศิลปศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
มัธยมศึกษา และระดับอุดมศึกษา ผู้รับผิดชอบในการร่างหลักสูตรในทุกระดับต้องให้ความสำคัญต่อวิชาศิลปศึกษาเท่าเทียมกับวิชาทาง
สายสามัญเช่น วิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษ หรืออย่างน้อยก็ควรให้ความสำคัญมากกว่านี้ การเพิ่มจำนวนหน่วยการเรียนในวิชาศิลปศึกษา
จะเป็นหนทางหนึ่งที่จะจูงใจให้เด็ก ๆ จะได้ให้ความสนใจในวิชาศิลปะ และเมื่อเด็กมีทัศนคติที่ดีต่อศิลปะ ต่อไปเมื่อเติบโตก็จะเป็นผู้ใหญ่
ที่มีความรู้ ความเข้าใจ และมีทัศนคติที่ดีต่อศิลปะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นผู้บริหารชาติบ้านเมือง ก็จะได้เป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุน
วงการศิลปกรรมไทยให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
กิจกรรมการเรียนการสอนวิชาศิลปศึกษาในโรงเรียน ควรเน้นการแสดงออกอย่างเสรีมากกว่าความถูกต้อง เพราะถ้าเราต้องการ
ให้เด็กไทยมีความเป็นตัวของตัวเอง มีความมั่นใจในตนเอง กล้าแสดงออก ต้องปล่อยให้เด็ก ๆ ได้แสดงออกอย่างอิสระ ไม่เน้นการลอกเลียน
แบบให้เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การแสดงออกอย่างเสรีในวิชาศิลปศึกษาจะเป็นประตูไปสู่การแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ วงการศิลป
กรรมในเมืองไทยจะก้าวเข้าสู่ระดับสากลได้ ศิลปินไทยต้องมีพื้นฐานของการแสดงออกที่มีเสรีภาพที่ประกอบด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ด้วย
การจัดการเรียนการสอนวิชาศิลปศึกษาควรเน้นการรับรู้ทางศิลปะมากกว่าการให้รางวัล เพราะวิชาศิลปศึกษาจะมีส่วนในการปลูกฝังให้เด็กไทย
รักการเรียนรู้มากกว่าทำอะไรบางอย่างเพื่อเงินรางวัลสถานเดียวและการให้รางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดเพียง 2 - 3 คน เป็นการส่งเสริมใน
ส่วนย่อย ในขณะที่วงการศิลปะในเมืองไทยต้องการการสนับสนุนในขั้นพื้นฐานและในภาพรวมมากกว่านี้ หน่วยงานของรัฐและเอกชนต้อง
สนับสนุนเกี่ยวกับการให้ความรู้ทางศิลปะมากกว่าการจัดประกวดศิลปะแล้วให้รางวัลเฉพาะผู้ที่มีทักษะสูงเพียงไม่กี่คน แล้วเด็กไทยส่วนใหญ่
ก็ถูกละเลยต่อไป ประเทศไทยต้องสนับสนุนให้มีการจัดตั้งหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ และสวนประติมากรรมที่มีคุณภาพ เพราะสิ่งแวดล้อม
ทางศิลปะเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นการเรียนรู้และเป็นแหล่งข้อมูลความรู้ที่เด็กและประชาชนทั่วไปจะได้ซึมซับได้ตลอดเวลา จะได้เป็นแหล่ง
พักผ่อนหย่อนใจที่ให้ทั้งความสุขทางกายและทางใจ ชาวไทยทุกคนจะได้มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทยที่มีศิลปวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า
อันเกิดจากภูมิปัญญาแห่งบรรพชน
ดร. กมล ทัศนาญชลี กล่าวในที่สุดว่า "แนวการพัฒนาวงการศิลปกรรมในเมืองไทยที่สำคัญที่สุดคือ ต้องพัฒนาการเรียนการ
สอนศิลปศึกษาในโรงเรียน เผื่อว่าเด็กเล็กเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ผู้บริหารชาติบ้านเมืองแล้ว จะได้ตระหนักถึงความสำคัญของศิลปกรรมและ
มีส่วนในการให้การสนับสนุนวงการศิลปกรรมในเมืองไทยให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศ"
*******************
|