: : : รายละเอียดข่าว : : :

ข่าว ปีที่ :ข่าวปีที่ 4 ฉบับที่ 04 ประจำเดือน 04 2544
หัวข้อข่าว : คำกล่าวของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) ในการประชุมชี้แจงนโยบายของรัฐบาลฯ
รายละเอียด :
                    คำกล่าวของ  ฯพณฯ  นายกรัฐมนตรี  (พ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร)  ในการประชุมชี้แจงนโยบายของรัฐบาลแก่ผู้บริหาร

ในระดับสูง  ณ  ตึกสันติไมตรี  ทำเนียบรัฐบาล  (วันจันทร์ที่  5  มีนาคม  2544  เวลา  09.00  น.)

         กล่าวทักทาย

         ปลัดกระทรวง  ผู้บัญชาการเหล่าทัพ  อธิบดี  ผู้ว่าราชการจังหวัด  และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทุก  ๆ  คน  วันนี้ผมและ

คณะรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง  ที่ได้มาพบปะกับทุกคนและได้มาเป็นประธานในการเปิดการชี้แจงนโยบายให้กับผู้บริหารระดับ

สูงของประเทศ  ได้เข้าใจการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต

         มอบนโยบาย

         วันนี้นอกจากเป็นการชี้แจงนโยบายของรัฐบาลและชี้แจงแนวการทำงานร่วมกันของรัฐบาลแล้ว  ยังเป็นครั้งแรกที่ผม

ได้มีโอกาสมาพบปะกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการ  ซึ่งผมถือว่าเป็นวาระที่ดีที่สุดโดยเฉพาะต่อจากการที่ได้มีการประชุม

ชี้แจงนโยบายกับรัฐสภาแล้ว  หลายคนคงจำได้ว่าวันนั้นผมพูดคำว่า  36  คนของคณะรัฐมนตรี  ไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนให้ประเทศ

นี้ก้าวไปข้างหน้าได้  700  คนในสภาฯ  ผมได้ไปชี้แจงขอความร่วมมือไปแล้ว  แต่อีก  2  ล้านคนที่เป็นข้าราชการและพนักงานรัฐ

วิสาหกิจ  ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญพลังหนึ่ง  ที่เราจะต้องมีความเข้าใจในทิศทางที่จะเดินไปด้วยกันและแน่นอนว่า  61  ล้าน

คนเศษของประชากรทั้งหมด  ก็ต้องเข้าใจว่าเราจะนำพาเขาไปที่ไหน  แล้วจะเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์แก่เขาอย่างไร  เพราะฉะนั้น

วันนี้จึงเป็นขั้นที่  3  ที่ผมได้ทำหน้าที่  โดยในขั้นที่  1  ผมได้ชี้แจงกับคณะรัฐมนตรีในการประชุมนัดแรกถึงการทำงานร่วมกันแล้ว  

ขั้นที่  2  ผมได้ชี้แจงกับรัฐสภา  700  คนแล้ว  และนี่คือขั้นที่  3  คือการชี้แจงแก่ผู้บริหาร  เพื่อท่านจะได้ไปชี้แจงต่อและแน่นอนว่า

หลังจากนั้นแล้ว  ผมจะต้องพบกับประชาชน  พูดให้ประชาชนฟังถึงความจริงของประเทศไทยและแนวทางที่ผมจะทำงานให้เขา  

วันนี้จึงต้องขอขอบคุณเลขาธิการคณะรัฐมนตรี  คณะรัฐมนตรี  และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทุกคนที่ได้กรุณามาร่วมการประชุมชี้แจง

นโยบายในวันนี้  ซึ่งผมขอเสนอแนวคิดและแนวนโยบายแบบคนที่จะต้องทำงานร่วมกัน  ที่มีภารกิจร่วมกันและผมขอพูดแบบสบาย  ๆ  

ไม่เป็นทางการ  แต่ขอให้ช่วยกันรับฟังด้วย  เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน

         ข้าราชการมืออาชีพ

         สำหรับสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะเห็นคือ  อยากเห็นข้าราชการเป็นมืออาชีพ  ผมไม่อยากเห็นข้าราชการสังกัดพรรค  อยาก

เห็นสังกัดประเทศไทย  เพราะสิ่งที่ผ่านมาบางครั้งผมเห็นใจข้าราชการ  บางครั้งข้าราชการทำตัวลำบาก  แต่บางคนทำงานโดยยึด

แนวนโยบายของการบริหารในขณะนั้น  แต่ก็ทำตัวเป็นมืออาชีพมาก  ซึ่งอันนี้ผมขอยกตัวอย่างกระทรวงการคลัง  สาเหตุที่ยกตัวอย่าง

กระทรวงการคลังก็เพราะว่าได้ทำงานใกล้ชิดกับกระทรวงการคลัง  ในขั้นการเตรียมการรับตำแหน่ง  ซึ่งกระทรวงการคลังต้องยอม

รับว่าในอดีตทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาลมาก  แต่ว่าพอถึงเวลาเปลี่ยนหน้าที่  เขาก็ทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาลคือเป็นมืออาชีพคือผมอยาก

เห็นอย่างนี้มาก  เพราะไม่อย่างนั้นประเทศไปไม่ได้  สังคมไทยเราบางทีบางครั้งเราก็คิดกันมาก  จึงขอให้รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่

เปิดใจกว้าง  ให้พวกเราทำงานอย่างมืออาชีพเพื่อประชาชน  เพราะเรายังต้องทำงานเพื่อประชาชน

         วันที่  26  กุมภาพันธ์  ที่ผ่านมา  รัฐบาลได้ชี้แจงนโยบายต่อสมาชิกรัฐสภาและให้ความเห็นต่าง  ๆ  นานา  ซึ่งมีทั้ง

เห็นด้วย  ทั้งเสริม  ทั้งไม่เห็นด้วยทั้งหมด  หรือว่าไม่เห็นด้วยบางส่วน  สำหรับทางส่วนราชการต่าง  ๆ  ทางเลขาธิการคณะ

รัฐมนตรีได้ประมวลมา  ซึ่งจะเข้าคณะรัฐมนตรีในวันที่  6  มีนาคม  2544  เพื่อทราบ  จะได้นำไปอ่านเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข  

โดยใช้สมองของคน  700  คน  ที่มากกว่า  36  คน  และวันนี้เราก็จะใช้สมองของคนอีก  2  ล้านกว่าคน  มากกว่า  36  คน  และ  

700  คน  โดยแจกข้อมูลต่าง  ๆ  เกี่ยวกับเรื่องการเห็นด้วย  ไม่เห็นด้วย  ในนโยบายหลาย  ๆ  อย่างให้กับทุกคน  เพื่อนำมาสู่การ

แก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง  ผมต้องขอขอบคุณข้าราชการหลายคนที่ได้ช่วยกันให้ข้อมูลกับรัฐบาล  ในการตอบคำถามของรัฐสภาใน

วันที่  26 - 28  กุมภาพันธ์  2544  ซึ่งผมได้ไปขอบคุณด้วยตัวเองมาแล้วรอบหนึ่งแต่อาจไม่ทั่วถึง  วันนี้ผมจึงขอถือโอกาสขอบคุณ

ทุกคนในที่นี้อีกครั้ง

         อัญเชิญพระราชดำรัส

         วันนี้ผมจะต้องพูดชี้แจงทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย  แต่ช่วงบ่ายเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีมหาดไทยเป็นหลัก  เพราะเป็น

การประชุมร่วมกันของฝ่ายบำบัดทุกข์บำรุงสุข  ส่วนผมจะทำหน้าที่ไปเปิดและให้แนวทาง  หลังจากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง

มหาดไทยก็จะชี้แจงต่อ  ผมขอเรียนว่ารัฐมนตรีที่มาร่วมชี้แจงในช่วงบ่ายกับผมในวันนี้  หลังจากที่ผมพูดเสร็จเรียบร้อยแล้ว  จะ

ให้ทุกคนได้ซักถามรัฐมนตรี  โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการเขียนนโยบาย  จะมาร่วมช่วยชี้แจงด้วย  ก่อนอื่นผมขออัญเชิญ

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณของคณะรัฐมนตรี  ณ  พระราชวังไกลกังวล  

หัวหิน  เมื่อวันที่  18  กุมภาพันธ์  2544  ที่ผ่านมา  ซึ่งเป็นพระราชดำรัสที่มีคุณค่ายิ่ง  ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อเตือนใจในการที่เราจะทำงาน

ร่วมกัน  ท่านทรงย้ำว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของประชาชน  ถ้าทำดีก็จะทำให้ประเทศชาติก้าวหน้า  ถ้าผิดพลาดก็เป็นความผิดพลาด

ของประเทศชาติ  ในสถานการณ์ปัจจุบันถ้ามีความผิดพลาดใด  ๆ  ก็คือว่าเป็นอันตรายต่อส่วนรวมและมีผลก้าวไกล  และท่านยังทรง

ให้ข้อคิดว่าประเทศชาติของเราประกอบด้วย  ประชาชนคนทั่วประเทศซึ่งมีความคิด  มีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน  แม้แต่ถิ่นที่อยู่ก็

แตกต่างกัน  ฐานะก็แตกต่างกัน  ทรงย้ำเตือนว่าหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีเป็นหน้าที่ที่หนักมาก  ต้องทำด้วยความเฉลียวฉลาด  ด้วย

ความรู้หลักวิชา  ด้วยความมีคุณธรรมที่สูง  จึงขอให้ปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังและความสามารถ  ทั้งกาย  ทั้งใจ  และสติปัญญา  

ถ้าทำได้ก็จะได้รับผลสำเร็จ  ทรงขอให้คณะรัฐมนตรีทุกคนทำงานด้วยความสามารถเต็มที่  ด้วยความอุตสาหะ  ด้วยความเสียสละ  

ด้วยความฉลาด  และด้วยความซื่อสัตย์  เพื่อเป็นแนวทางที่รัฐบาลจะต้องรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมยึดถือปฏิบัติ  เพราะฉะนั้นผมจึง

ขอถ่ายทอดให้กับทุกคนในฐานะที่เราจะต้องทำงานร่วมกันว่า  นี่คือแนวทางที่เราจะต้องทำ

         สรุปก็คือว่า  ในช่วงนี้ประเทศไทยเราอยู่ในฐานะที่ผิดพลาดไม่ได้อีกแล้ว  เงินก็เหลือน้อย  หนี้ก็สูง  ความอดทนของ

ประชาชนในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเราก็ถือว่า  เราขอร้องให้ประชาชนอดทนมามากแล้ว  ถึงแม้ประชาชนต้องทนต่อ  แต่ว่าเราเองก็

จะต้องเร่ง  เราจะปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปแบบวันต่อวันคงไม่ได้  ประชาชนต้องอดทนต่อคือสรุปแล้วเราต้องฟิต  คณะ

รัฐมนตรีก็ต้องฟิต  เพราะว่าประเทศจะเสียโอกาส  เมื่อวันเสาร์ท่านก็คงทราบข่าวใหญ่  แต่ผมเองก็ขอเรียนว่าไม่ได้หวั่นไหวอะไร  

ก็ขอทำหน้าที่อย่างเดิม  วันเสาร์ - อาทิตย์ที่จะต้องไปประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องยาเสพติดกันที่เชียงรายก็จะไปเหมือนเดิม  เพียง

แต่ว่าใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ตรงนั้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าที่ทางด้านความปลอดภัย  ไม่ได้หมายความว่าผมจะขวัญเสีย

หรืออะไรเลย  ก็เพียงแต่ว่ากันไปตามกติกาบ้านเมือง  แต่สำหรับผมเองผมถือว่าผมต้องทำงาน  ผมต้องเคลื่อนไหว  ต้องเคลื่อนตัว

เข้าสู่ปัญหาถึงที่ปัญหา  ผมเองก็จะต้องทำของผมอย่างนี้  เหตุที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าเราก็รู้  ๆ  กันอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่ว่ายังไม่รู้สาเหตุ

ว่าเป็นเพราะอะไรก็จริงอยู่  แต่ว่าไม่ทำให้ผมต้องชะลอการทำงาน  ฉะนั้นก็ขอร้องว่าเราจะต้องช่วยกัน

         หลักการบริหารของรัฐบาล

         ผมอยากจะขอพูดถึงหลักคิดและหลักบริหารของรัฐบาลที่จะใช้ในการทำงานในวันข้างหน้าคือ  ผมขอเรียนว่าการที่

รัฐบาลได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนโดยพรรคแกนนำ  ซึ่งรวมกันเป็นรัฐบาลที่มี  ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎรมาก  ผมก็บอกกับ

สภาผู้แทนราษฎรแล้วว่าผมจะไม่ใช้อำนาจในทางที่ผิด  แต่ผมใช้ความที่มีเสียงข้างมากครั้งนี้เป็นนาทีทองของประเทศในการ

เปลี่ยนแปลงอะไรที่มันควรจะเปลี่ยนมานานแล้ว  แล้วไม่ได้เปลี่ยน  จะถือโอกาสเที่ยวนี้ที่จะเปลี่ยน  ฉะนั้นผมอยากให้ข้าราชการ

ทุกท่านได้ไปนั่งฝันว่าที่กระทรวง  ทบวง  กรม  ของตัวเองเคยฝันว่าจะเปลี่ยนอะไรแล้วเปลี่ยนไม่ได้  เพราะการเมืองวันนี้ถึงเวลา

ที่ท่านจะต้องสานฝันของท่านแล้ว  เพราะคิดว่าการเมืองจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป  แล้วผมขอเรียนว่าผมจะบริหารรัฐบาลนี้ที่

เป็นรัฐบาลผสมให้เหมือนกับว่าไม่ใช่รัฐบาลผสม  เราจะชวนกันทำลายกำแพงกั้นความคิด  ทำลายกำแพงกั้นการทำงานด้วยกันที่

จะใช้พลังร่วมกันออกจากกันหมด  ไม่ว่าจะเป็นกำแพงระหว่างกรม  ระหว่างกระทรวง  ระหว่างรัฐมนตรีว่าการ  รัฐมนตรีช่วย

ว่าการ  หรือรัฐมนตรีต่างพรรค  ไม่มี  ถ้ามีเมื่อไรผมไม่ยอม  เพราะว่าไม่เช่นนั้นเราจะสูญเสียโอกาส  ที่ผ่านมาเราสูญเสียมามาก

แล้ว  เราไม่ต้องโทษใคร  แต่เราคิดว่าระบบของเราวันนี้ได้พัฒนามาถึงจุดที่ประชาชนอยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเกิด

แล้ว  พรรคการเมือง  การเมืองเกิดขึ้นภายใต้กติกาใหม่แล้ว  ฉะนั้นการบริหารต้องบริหารด้วยกติกาใหม่ทฤษฎีใหม่ด้วยความ

ตั้งใจ  ความมุ่งมั่นใหม่  ฉะนั้นวิธีเก่า  ๆ  ที่คิดเก่า  ๆ  ในกรอบเดิม  ๆ  ว่าจะติดตรงนั้นเกรงใจรัฐมนตรี  ต้องไม่มี  ผมพูดดัง  ๆ  

ให้รัฐมนตรีของผมได้ด้วย  ข้ามพรรคก็ต้องไม่มีและผมก็ขอเรียนว่าการที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรีทุกคนที่อยู่ในรัฐบาล

ผมคือผู้บังคับบัญชา  แต่ทางการเมืองหัวหน้าพรรคก็เป็นผู้บังคับบัญชา  แต่ทางการบริหารผมเป็นผู้บังคับบัญชา  ฉะนั้นผมเป็น

รูปแบบของผู้นำเข้มแข็ง  เรื่องนี้ผมถือว่าผมมุ่งเข้าสู่แนวทางพื้นฐานก็คือความผาสุกของประชาชน  ฉะนั้นเรื่องอื่นเป็นเรื่องเล็ก

หมด  ผมจะไม่ใช้การเมืองนำการบริหารแน่นอน  ผมจะใช้หลักการบริหารเด็ดขาด  ช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนแปลง  การเปลี่ยนแปลง

คงทำไม่ได้ชั่วข้ามคืน  แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นระดับที่เปลี่ยนเป็นขั้น  ๆ  ไป  ในปีที่หนึ่งการเปลี่ยนอาจจะเบา  ปีที่สองก็เข้ม

ขึ้น  ปีที่สาม  ปีที่สี่จะเริ่มเข้มขึ้นเรื่อย  ๆ  แต่ก็ขอเรียนว่าจะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงแบบนั้น  เราเปลี่ยนเพราะถูกบังคับให้เปลี่ยน

มานานแล้ว  วันนี้เราจะเปลี่ยนล่วงหน้า  การจะเปลี่ยนล่วงหน้าได้นั้นจะต้องมีวิสัยทัศน์

         ปรับเปลี่ยนการบริหารให้มีประสิทธิภาพที่สุด

         เราจะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารมากพอสมควร  เราจะคิดนอกกรอบเดิมหมด  กรอบเดิมที่เราเคยคิดไว้เอา

กฎหมายเป็นตัวตั้ง  ทุกอย่างกฎหมายว่าอย่างนี้ทำไม่ได้เพราะกฎหมายกำหนด  ต่อไปนี้เปลี่ยนโดยเอาที่หมายปลายทางเป็นตัวตั้ง  

แล้วกำหนดวิธีการที่จะเดินสู่ที่หมายปลายทาง  เมื่อกำหนดวิธีการแล้ว  วิธีการนั้นเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุด  เราเลือกวิธีการ

นั้นแล้วค่อยมาดู  ถ้ายังไม่มีกฎหมายรองรับก็ทำกฎหมายรองรับ  ถ้ามีกฎหมายอยู่เป็นอุปสรรคก็แก้ไข

         ผมจึงเรียนกับผู้บริหารบางท่านว่า  วันนี้กฎหมายที่มีอยู่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน  เราต้องถือว่ามีไว้ให้แก้ไข  แต่กฎหมาย

อนาคตนั้นคือกฎหมายสำหรับการผลักดันขับเคลื่อนประเทศ  ฉะนั้นเราจะต้องมีการสังคายนาพอสมควรทีเดียว  ผมได้คุยกับทาง

เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว  ได้ขอให้ท่านมีชัย  ฤชุพันธุ์  มาเป็นประธานในการปฏิรูประบบกฎหมายของเรา  เพื่อที่จะนั่ง

ดูกฎหมายเป็นชุดว่าเราจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างเช่น  เรื่องการกระจายอำนาจ  ซึ่งเราจะพูดกันตอนเย็นนี้  มีกฎหมายกี่ฉบับที่เกี่ยวข้องแล้ว

มีปัญหาอะไร  เรามองทั้งพวง  ถ้ามองเป็นชิ้น  ๆ  เราแก้ไขปัญหาประเทศไม่ได้เลย  นี่คือสิ่งที่ติดขัดมานานแล้ว  ต้องถือว่าช่วงนี้คือ

นาทีทอง  ถ้าเราไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำตอนไหนแล้ว  ผมไม่รู้ว่าเลือกตั้งครั้งหน้าประชาชนจะให้มาแบบนี้อีกหรือไม่  ฉะนั้นวันนี้เรา

จะต้องทำให้ดีที่สุด  เพราะเราถือว่าจะไปหวังน้ำบ่อหน้าไม่ได้  ในเมื่อวันนี้มีพลัง  มีฉันทานุมัติมาแล้วเราต้องรีบแก้ไข  เพื่อให้ประเทศ

ชาติได้มีโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ให้ดีที่สุด  นั่นคือความตั้งใจของผม

         ระบบราชการไทยมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

         การคิดนอกกรอบของผม  นอกจากไม่ยึดกฎหมายเก่า  ๆ  แล้ว  ไม่ยึดการเมืองแล้วยังไม่พอ  จะยึดการมีส่วนร่วมนั่นคือ  

หัวใจของการเปลี่ยนแปลงการเมืองครั้งใหญ่  มีหลักการบริหาร  อันหนึ่งเขาบอกว่าผู้นำที่ดีต้องมีความสามารถในการปลดปล่อยพลัง

สมองของคนในองค์กร  ถ้าเราไม่สามารถปล่อยพลังสมอง  เราไม่ได้ใช้สมองของคนในองค์กร  เราไม่มีทางที่จะเป็นองค์กรที่แข่งขัน

ได้  นั่นคือระบบราชการไทยของเรามีข้อดีและข้อเสีย  ข้อดีข้อที่หนึ่งก็คือว่าสังคมไทยเราตอนเด็ก  ๆ  พ่อแม่สอนตลอดเวลาว่าโตขึ้น

ขอให้เป็นเจ้าคนนายคนนะลูก  เราก็รับราชการกันหมด  ฉะนั้นราชการเป็นทางเลือกแรกของคนหัวดี  คนที่เป็นข้าราชการ  โดยเฉพาะ

ชั้นผู้ใหญ่อย่างท่านรับรองเลยว่า  อายุขนาดนี้ภาครัฐบาลมีคนที่มีไอคิวสูงกว่าภาคเอกชน  แต่ในอนาคตไม่แน่  เพราะว่าภาคเอกชน

เติบโตเร็ว  แต่ในสมัยก่อนคือทุกคนอยากรับราชการ  ฉะนั้นคนที่อยู่ระดับพวกท่านคือคนไอคิวสูงทั้งนั้น  แต่ระบบทำให้ไอคิวเหล่านี้

เริ่มไม่ทำงาน  เพราะว่าทุกคนมีวินัยหมด  ใครพูดอะไรต้องดูบ่าคือ  ดูตำแหน่ง  ดูยศ  ใครใหญ่กว่าคนนั้นถูกหมด  ฉะนั้นระดับล่าง

เลยไม่กล้าคิด  ไม่กล้าแสดงออก  ไม่กล้าทำงาน  การไม่มีส่วนรวมตรงนี้คืออันตรายของประสิทธิภาพการบริหาร

         วันนี้ต้องเริ่มในระบบราชการก่อนแล้วประชาชนก็อยากร่วมด้วย  แม้กระทั่งภาคธุรกิจก็เหมือนกัน  ถ้าธุรกิจไหนทำการ

ตลาดโดยคิดเองแล้วเสนอความคิดเอง  เจ๊งทุกราย  แต่ถ้ารู้จักมีการทำการสำรวจตลอดให้รู้ว่า  ประชาชนคิดอย่างไรชอบอะไร  แล้ว

ออกผลิตภัณฑ์อย่างนั้น  โฆษณาสินค้าอย่างนั้นชนะหมด  เหมือนกับภาคราชการ  ผมถึงเรียกว่าการเอาภายนอกเข้ามาไม่เหมือนตีกอล์ฟ  

ตีกอล์ฟคือการเอาภายในออกไป  ถ้าหากบริหารต้องเอาภายนอกเข้ามาคือ  รับฟังความคิดเห็นจากคนในองค์กรและจากประชาชนให้

มากที่สุด  เพื่อท่านจะได้ตอบสนองถูก  เพราะหน้าที่ของเราคือการตอบสนองประชาชน  ฉะนั้นแนวคิดของกรอบจึงเป็นแนวคิดอีก

อันหนึ่งที่เราจะต้องใช้ลักษณะแนวทางนำภายนอกเข้ามามากกว่าการนำภายในออกไป  เพราะภาคราชการจะเคยชินกับระบบเดิมที่

นำภายในออกไป  สมัยก่อนระบบสื่อสารข้อมูลยังไม่ดี  ในเมื่อเราเป็นหลัก  เราก็คิดเอง  ช่วยคิดนำประชาชนตลอด  แต่วันนี้อย่าไป

คิดว่าเราเก่งคนเดียว  เราต้องรับฟังทั้งหมด  ฉะนั้นระบบราชการที่ผมพูดไว้ข้อดีก็คือเรื่องของการที่เรามีคนซึ่งเก่ง  ๆ  อยู่มาก  

แต่ข้อเสียคือระบบที่ทำให้เราไม่ได้ปล่อยให้คนในองค์กรมีส่วนร่วม  เราไม่สามารถปลดปล่อยพลังสมองคนในองค์กรนั้น  คือข้อเสีย

ที่สำคัญของระบบราชการ  ถ้าท่านปรับข้อเสียเป็นข้อดีได้ตรงนั้นจะเป็นองค์กรที่เข้มแข็งมาก

                                                                                                   

                                                                                                                              (อ่านต่อฉบับหน้า)



                                                                                       ********************

โดย : 192.168.128.10 * [ วันที่ 2002-04-23 14:26:40 ]