นักวิจัยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ศึกษาการทอผ้าจวนตานีตามแนวพระราชดำริฯ ฟื้นฟูและประยุกต์
ผ้าทอพื้นเมืองด้วยเส้นไหมที่เคยมีชื่อเสียงในอดีต มาใช้ใยฝ้ายและใยสังเคราะห์ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและสนองความต้องการของตลาด
และผู้บริโภค
ผศ. จุรีรัตน์ บัวแก้ว หัวหน้าโครงการวิจัยการทดลองทอผ้าจวนตานีตามแนวพระราชดำริฯ ด้วยเส้นใยฝ้ายและใยสังเคราะห์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวว่าพื้นที่ห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในเอเซีย
ตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างจีนและอินเดีย ตลอดจนประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง เนื่องจากมีสินค้าเป็นที่ต้องการของพ่อค้าต่างชาติ การแลก
เปลี่ยนทางการค้านำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมดังกล่าวจะแตกต่างจากภาคอื่น ๆ นับตั้งแต่การใช้ผ้าในการแต่งกาย ประกอบพิธี
ทางศาสนา และประเพณีวัฒนธรรม จึงมีผ้าหลายชนิดในชีวิตประจำวันเช่น ผ้าจวนตานี ผ้ายกตานี ผ้าการะป๊ะห์ ฯลฯ เดิมชาวพื้นเมือง
มีการทอผ้าโดยใช้วัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่นเป็นผ้าเนื้อหยาบ จนได้รับการถ่ายทอดเทคนิคการทอผ้าขั้นสูงจากชาวอินเดียที่เข้ามาอาศัยในภาค
ใต้ตอนล่างผสมผสานกับความรู้เดิม ประกอบกับมีการติดต่อค้าขายกับประเทศจีน จึงได้นำเข้าเส้นใยไหมจากประเทศจีน ซึ่งเป็นเส้นใยที่
มีคุณภาพดีที่สุดในโลก ทำให้ผ้าที่ผลิตขึ้นใช้ในเวลาต่อมามีความสวยงามและมีคุณค่า แต่นับวันจะสูญหายไปจากภาคใต้ เนื่องจากอิทธิพล
ตะวันตกประเภทเสื้อผ้าถูกนำมาขายในราคาที่ถูกกว่าผ้าทอพื้นเมือง ประกอบกับเส้นใยไหมต้องสั่งเข้าจากประเทศจีน ทำให้ผ้าพื้นเมืองเช่น
ผ้าจวนตานี มีราคาต้นทุนสูง
นักวิจัยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวอีกว่าในอดีตผ้าจวนตานีที่ทอด้วยไหมมีความงดงาม ทำให้มี
ผู้ใช้กันมากแต่มีราคาแพงเพราะต้นทุนสูง เนื่องจากต้องสั่งซื้อเส้นไหมจากประเทศจีน เมื่ออิทธิพลตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ในไทย เสื้อผ้า
ราคาถูกเข้ามาแทนที่ ทำให้อุตสาหกรรมพื้นบ้านลดความสำคัญลงประกอบกับผ้าจวนตานีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวกล่าวคือ ส่วนใหญ่เป็นผ้า
ที่ทอด้วยไหม มีล่องจวน (แนวหรือร่องที่ปรากฏบนตัวผ้าและเชิงผ้า) ปรากฏอยู่ระหว่างต่อผ้าและเชิงผ้า บริเวณเชิงผ้าส่วนใหญ่ใช้ย้อม
สีแดง ผ้าจวนตานีแต่ละผืนมีลวดลายตั้งแต่ 5 - 9 ลาย สีสันของตัวผ้าจะติดกับเชิงผ้า สีที่ใช้เป็นสีธรรมชาติได้แก่ สีแดง เขียว ม่วง
น้ำตาล ดำ และชมพู นอกจากนี้ยังใช้เชือกกล้วยตานีเท่านั้นในการมัดย้อม จะเห็นได้ว่าขั้นตอนการผลิตผ้าจวนตานีค่อนข้างยุ่งยากและ
ซับซ้อน โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยไม่สามารถสั่งนำเข้าเส้นใยไหมจากต่างประเทศได้ ยิ่งส่งผลให้ผ้าจวนตานีเสื่อม
ความนิยมลงและค่อย ๆ สูญหายไปในที่สุด
จากความสำคัญดังกล่าวจึงได้มีการศึกษาการทอผ้าจวนตานีด้วยเส้นใยฝ้ายและใยสังเคราะห์ตามแนวพระราชดำริสมเด็จ
พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยใช้ระยะเวลาการทำวิจัยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543 - 30 กันยายน 2544 ซึ่งโครงการวิจัย
ดังกล่าวได้นำผลการศึกษามาประยุกต์ใช้ โดยปรับลวดลาย สีสัน และเส้นใยให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด และปัจจุบันได้มี
การส่งเสริมให้แม่บ้านเกษตรกรในหลายพื้นที่ของจังหวัดปัตตานีและใกล้เคียง ได้ฝึกเป็นอาชีพเพื่อเสริมรายได้ประกอบกับเป็นการสนอง
แนวพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูผ้าจวนตานีให้คงอยู่ตลอดไป
******************
|