พระพุทธรูปบูชาของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรทรงเครื่อง
ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นพุทธศิลป์ในพุทธศตวรรษที่ 24 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส
ราชนครินทร์ ได้ทรงพระกรุณาประทานพระพุทธรูปบูชานี้ให้เป็นพระพุทธรูปบูชาแก่บุคลากรมหาวิทยาลัย นักศึกษามหาวิทยาลัย
สงขลานครินทร์ และพระพุทธศาสนิกชนทั่วไป เมื่อวันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม 2537 เวลา 17.00 น. ณ วังเลอดิส กรุงเทพฯ
ที่มาของพระพุทธรูปดังกล่าวก็คือ เมื่อครั้งฉลองครบรอบ 25 ปี การก่อตั้งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์นั้น
มหาวิทยาลัยเคยปรารภจะสร้างพระพุทธรูปเพื่อฉลองวโรกาสพิเศษและเคยได้กราบทูลพระกรุณาขอพระราชทานแผ่นทองปฐม-
ฤกษ์จากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนีและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ซึ่งได้ทรงโปรดฯ รับไว้ในพระราชวินิจฉัย แต่ยังไม่ได้มีการสร้างพระพุทธรูปครั้งนั้นจน 2 ปีต่อมาทางมหาวิทยาลัยได้กราบ
ทูลสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งได้ทรงพระกรุณาขอพระราชทานจาก
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระองค์ท่านได้พระราชทานพระพุทธรูปมา 2 องค์คือ พระพุทธรูปหล่อหลวงพ่อ
พระเสริมกับพระพุทธรูปหลวงพ่อเพชร พระพุทธรูปหลวงพ่อพระเสริมนั้นพระราชทานให้แก่วิทยาเขตหาดใหญ่ พระพุทธรูป
หลวงพ่อเพชร พระราชทานให้วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี ส่วนวิทยาเขตปัตตานีนั้น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ประทานพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรทรงเครื่อง เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บุคลากรและนักศึกษา
ที่เป็นพุทธศาสนิกชน
สำหรับประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรหรือพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรทรงเครื่อง สรุปจาก
ตำนานพระพุทธรูปต่าง ๆ ซึ่งเป็นนิพนธ์ของพระพิมลธรรมราชบัณฑิต (ชอบ อนุจารี) พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในงานออก
พระเมรุพระราชทานเพลิงศพพระพิมลธรรม โดยคณะศิยานุศิษย์และสาธุชนในต่างแดน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2536 (หน้า
89 - 90) ใจความว่า "ครั้งเมื่อพระพุทธองค์เสด็จประทับที่ตำบลอุรุเวฬาเสนานิคม ณ ราชสำนักของอุรุเวฬากัสสป หัวหน้าชฏิล
500 ผู้เป็นที่เคารพนับถือของมหาชนในมคธรัฐนั้น ได้เกิดน้ำไหลบ่ามาจากทิศต่าง ๆ ท่วมสำนักท่านอุรุเวฬากัสสป พระองค์จึง
เสด็จจงกรมภายในวงล้อมของน้ำที่ท่วมท้นเป็นกำแพงรอบด้าน มิได้ท่วมบ่าเข้ามาในที่ประทับ ครั้งนั้นชฏิลทั้งหลายพากันพายเรือ
มาดู ต่างเห็นเป็นอัศจรรย์ก็สิ้นพยศ ทั้งหมดยอมเป็นศิษย์ตั้งอยู่ในพระโอวาท ได้ลอยบริขารของพระชฏิลลงทิ้งในน้ำ แล้วขอ
อุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา"
กับอีกตำนานหนึ่งกล่าวถึง "ชาวบ้านในพระนครกบิลพัสดุ์ของพระญาติฝ่ายพระพุทธบิดากับชาวนาในพระนคร
เทวทหะของพระญาติฝ่ายพระพุทธมารดา ซึ่งล้วนอยู่ใกล้แม่น้ำโรหินีได้อาศัยน้ำในแม่น้ำทำนาร่วมกันมาโดยปกติสุข จนสมัย
หนึ่งฝนน้อยน้ำในแม่น้ำก็น้อย ชาวบ้านทั้งหมดต้องกั้นทำนบน้ำในแม่น้ำนี้ขึ้นมาทำงาน แม้ดังนั้นแล้วน้ำก็หาเพียงพอไม่ เป็นเหตุ
ให้มีการแย่งน้ำทำนากันขึ้น ขั้นแรกก็วิวาทกันเฉพาะเพียงบุคคลต่อบุคคล จนถึงคุมสมัครพรรคพวกเจ้าประหัตประหารกัน เพราะ
ไม่มีการระงับด้วยสันติวิธี ต่อไปก็ลามปามไปถึงราชวงศ์ กษัตริย์ผู้เป็นพระญาติพระพุทธเจ้าทั้งสองพระนคร ก็กรีฑาทัพออก
ประชิดกันยังแม่น้ำโรหินีเพื่อสัประยุทธ์กัน โดยหลงเชื่อคำเพ็ดทูลของอำมาตย์ที่กำลังเคียดแค้นกัน ไม่ทันได้ทรงวินิจฉัยให้ถ่อง
แท้ว่าเมื่อเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นเกิดขึ้นแล้ว ควรจะทรงระงับเสียด้วยสันติวิธีอันชอบด้วยพระราโชบายที่รักษาสันติสุขของประเทศ
พระบรมศาสดาทรงทราบ ก็ทรงพระมหากรุณาเสด็จไปทรงห้ามสงครามแย่งน้ำระหว่างพระญาติทั้งสองฝ่าย โดย
ทรงแสดงโทษคือความพินาศย่อยยับของชีวิตมนุษย์ โดยไม่พอที่จะพากันล้มตาย ทำลายเกียรติยศของกษัตริย์ เพราะเหตุแห่งน้ำ
เข้านาเพียงเล็กน้อย ครั้นพระญาติทั้งสองฝ่ายทำความเข้าใจคืนดีกันแล้วก็เสด็จพระพุทธดำเนินกลับ"
จากตำนานความเป็นมาดังกล่าวข้างต้น จึงเห็นได้ว่าพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร หรือพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรทรง
เครื่องนั้น เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งการห้ามภัยพิบัติอันเกิดจากความประมาทไม่รู้เท่าเหตุการณ์ และขจัดความขัดแย้งอันเกิดจากการ
ที่คนเราแต่ละคนนั้น ถืออัตตาของตนเป็นใหญ่ อันพิจารณาแล้วก็เป็นลักษณะเด่นทั่วไปสำหรับสังคมประชาธิปไตยในยุคโลกาภิวัตน์นี้
การที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ทรงพระกรุณาประทานพระ
พุทธรูปปางห้ามสมุทรทรงเครื่อง ให้เป็นพระพุทธรูปบูชาประจำวิทยาเขตปัตตานีและได้ประทานนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "พระ
พุทธทักษิณสมานฉันท์" จึงนับเป็นสิริมงคลยิ่ง ด้วยจะเป็นสิ่งเตือนใจให้เรามีสติรอบคอบในการประกอบหน้าที่การงานและการดำเนิน
ชีวิต โดยไม่ตั้งอยู่ในความประมาทกับทั้งไม่ถือเอาอัตตาของเราเป็นที่ตั้ง อันจะเป็นพื้นฐานให้สังคมประชาธิปไตยของเราวิวัฒน์พัฒนา
โดยสมานฉันท์คือ ความรักใคร่ปรองดองเป็นพี่น้องร่วมสุขทุกข์กัน ไม่ว่าเราจะมีความแตกต่างในเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ความ
เป็นอยู่ และความคิดอ่านใด ๆ
การก่อสร้างมณฑปเพื่อเป็นประดิษฐานพระพุทธทักษิณสมานฉันท์นั้น มหาวิทยาลัยได้กราบบังคมทูลอัญเชิญสมเด็จ-
พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้เสด็จฯ มาเป็นองค์ประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2539 อันเป็น
ปีกาญจนาภิเษกเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี แห่งการเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อแต่นี้ไปเราก็จะ
มีสัญลักษณ์แห่งความดีงามเพิ่มขึ้นอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งจะคอยเตือนใจให้เราไม่ตั้งมั่นอยู่ในความประมาท อันเป็นที่มาแห่หงภัยพิบัติและ
ยึดความสมานฉันท์ ในการอยู่ร่วมกันด้วยสันติวิธีสมดังพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เห็นพสกนิกรชาวไทย
รักสามัคคี อยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข และร่วมกันจรรโลงชาติไทยให้ไพบูลย์วัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไป
******************
|