ปลัดทบวงมหาวิทยาลัยเดินทางมาเยือนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พร้อมให้นโยบายการบริหารมหาวิทยาลัย ในภาวะวิกฤติ
เศรษฐกิจ การประกันคุณภาพการศึกษา และการออกนอกระบบ
รศ. วันชัย ศิริชนะ ปลัดทบวงมหาวิทยาลัย ได้ให้เกียรติเดินทางมาเยือนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อ
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2541 โดยมีท่านอธิการบดี รองอธิการบดี คณบดี ประธานสภาอาจารย์ คณาจารย์ และบุคลากรมหาวิทยาลัย ร่วม
ให้การต้อนรับ ในโอกาสดังกล่าวปลัดทบวงมหาวิทยาลัยได้ให้ข้อคิดเห็นถึงสถานการณ์ของประเทศว่า "ปัญหาสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่
ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ ซึ่งส่อเค้ามาตั้งแต่ปี 2539 ทำให้ในปี 2540 ต้องนำมาตรการประหยัดงบประมาณมาใช้ แม้แต่วงการศึกษา
ก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่ทบวงมหาวิทยาลัยยังคงมีนโยบายที่จะไม่ลดปริมาณและคุณภาพของการผลิตบัณฑิตลง ซึ่งจากงบประมาณที่
จำกัดแต่ภารกิจไม่ลดลงนี้ เป็นจุดหักเหที่สำคัญที่หลายคนบอกว่าน่าจะใช้วิกฤติให้เป็นโอกาสคือ กิจกรรมอะไรก็ตามแต่ที่ทำไม่ได้ในเวลาปกติ
นั้น น่าจะเอามาเป็นข้ออ้างที่จะต้องนำมาทำในช่วงนี้ นั่นคือการปรับเปลี่ยนรูปแบบและกระบวนการในการบริหารจัดการต่าง ๆ ให้กระชับและ
มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กล่าวคือรัฐย้ำว่าถ้ามหาวิทยาลัยซึ่งเป็นแหล่งรวมขุมพลังความรู้ยังไม่สามารถเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสได้ ไม่สามารถใช้
พลังแห่งสติปัญญาที่มีอยู่มาสร้างประสิทธิภาพในการบริการ โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้แล้วใครจะทำได้ ตรงนี้เป็น
ความท้าทาย เพราะฉะนั้นผมอยากจะเน้นว่าประสิทธิภาพในการบริหารเป็นความจำเป็นในยุคปัจจุบัน ทำอย่างไรเราจะใช้ทรัพยากรให้เกิด
ประโยชน์ได้สูงสุด"
ปลัดทบวงฯ ได้ชี้แจงต่อไปว่ารัฐบาลได้มีมาตรการเพื่อการใช้งบประมาณอย่างประหยัด ประกอบด้วยการไม่จัดตั้งหน่วยงาน
ใหม่ ไม่เพิ่มอัตรากำลังข้าราชการ ไม่กำหนดตำแหน่งใหม่ที่มีเงินประจำตำแหน่ง และไม่เริ่มโครงการใหม่ที่ไม่ก่อให้เกิดดอกผล สำหรับ
โครงการที่สามารถอนุมัติได้นั้นต้องเป็นโครงการที่มีผลต่อการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหลัก ดังนั้นแต่ละมหาวิทยาลัยจะต้องใช้ความรู้
ความสามารถอย่างเต็มที่ในการบริหารและจัดการ นอกจากนี้ทบวงมหาวิทยาลัยยังได้กำหนดนโยบายให้แก่มหาวิทยาลัยอีก 6 ประการคือ
1. ความเสมอภาคทางการศึกษา การกระจายโอกาสทางการศึกษา และการขยายวิทยาเขต ก็ยังเป็นนโยบายที่ต้องคงอยู่
2. ความเป็นเลิศทางวิชาการ มหาวิทยาลัยไทยต้องเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ ซึ่งมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้มหาวิทยาลัยไทย
ยังไม่เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณที่สนับสนุนไม่เพียงพอ คณาจารย์ยังมีคุณภาพไม่เพียงพอ ทรัพยากรทางการศึกษาไม่
เพียงพอ งานวิจัยยังไม่อยู่ในระดับที่ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่ทั้งนี้จะให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งเป็นเลิศในทุกด้านย่อมไม่ได้ ดังนั้นต้อง
เลือกว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะเอาอะไรเป็นจุดเด่นของงาน
3. ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่จะต้องมาจากความสมัครใจจากภายในว่า เราต้องการสร้างประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพ
ภายนอกเป็นสิ่งที่ผู้อื่นมองเราว่ามีประสิทธิภาพแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการผลิตบัณฑิต สนองความต้องการของสังคม การใช้งบ
ประมาณคุ้มค่าหรือไม่ และทบวงมหาวิทยาลัยได้สนองตอบนโยบายหรือเปล่า
4. ความเป็นนานาชาติของอุดมศึกษาไทย จะทำอย่างไรให้หลักสูตรของเราเป็นสากล ทำอย่างไรให้นักศึกษามีความรู้ความ
สามารถระดับสากล และทำอย่างไรให้สิ่งที่เราสอนเป็นความสนใจของคนต่างชาติและอยากมาเรียน
5. ความสามารถในการผลิตบัณฑิต ให้สนองตอบต่อความต้องการของสังคมได้อย่างทันท่วงที ทันเวลา และมีคุณภาพ
6. การให้ภาคเอกชนมีส่วนรับรู้ รับทราบ และร่วมจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษา แต่การที่เอกชนเข้ามาก็ต้องการผลกำไร แต่ปัญหา
อยู่ที่ว่าทำอย่างไรจะให้เขามีกำไรและการศึกษามีคุณภาพด้วย
นโยบายทั้ง 6 ข้อนี้คือ สิ่งที่ทบวงมุ่งหวังจะให้มีอยู่ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะสะท้อนออกในแง่ของการจัดสรรงบประมาณ
สะท้อนออกมาในเชิงของการอนุมัติให้จัดตั้งหน่วยงานใหม่
สำหรับเรื่องการประกันคุณภาพการศึกษา ที่ทบวงประกาศเป็นนโยบายมาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2539 ในระยะแรกหลาย ๆ
หน่วยงานยังไม่ยอมรับ แต่หลังจากบริษัททริสต์และเอเชียวีคส์มาจัดอันดับมหาวิทยาลัย ไทยอยู่ในอันดับที่ 36 และ 44 ของมหาวิทยาลัยใน
เอเชีย ทำให้มหาวิทยาลัยมีความตื่นตัวเป็นอย่างมากว่าจะต้องปรับตัวเองให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของสังคม
การประกันคุณภาพจะต้องเกิดขึ้นจากความสมัครใจ ต้องให้เกิดความรู้สึกเองว่าถ้าไม่มีคุณภาพเราอยู่ไม่ได้ โดยเฉพาะในสังคม
ที่มีการแข่งขัน แม้แต่มาเลเซียเองก็ประกาศนโยบายการประกันคุณภาพการศึกษาในวันเดียวกับไทย แต่ของเขานั้นประกาศแล้วมีการบังคับ
ขณะที่นโยบายของทบวงมหาวิทยาลัยไม่ได้บังคับ เพียงแต่บอกว่าให้แต่ละแห่งสร้างระบบควบคุมคุณภาพด้วยตัวเอง แล้วแจ้งให้ทบวงทราบ
เพื่อที่จะประเมินและตรวจสอบต่อไป
รศ. วันชัย ศิริชนะ ปลัดทบวงมหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงการออกนอกระบบราชการว่าเมื่อออกนอกระบบแล้ว จะเป็นมหาวิทยาลัย
ของรัฐที่ไม่ใช่ระบบราชการ ในฐานะเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ รัฐพึงจัดสรรงบประมาณให้ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามความจำเป็น การ
บริหารมหาวิทยาลัยเป็นอิสระและปลอดจากระบบราชการ ซึ่งมี 3 กรณีคือ ด้านการบริหาร การเงินงบประมาณด้านวิชาการ และด้านการ
บริหารงานบุคคล ซึ่งทั้ง 3 ด้านอยู่ในความดูแลของสภามหาวิทยาลัย นอกจากนี้มหาวิทยาลัยต้องจัดการศึกษาให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
ตามเกณฑ์ที่รัฐกำหนด และในฐานะที่เป็นองค์กรสาธารณะภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และในฐานะที่ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินมาดำเนินการ
รวมถึงฐานะที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม มหาวิทยาลัยจะต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสและพร้อมที่จะได้รับการตรวจสอบจากภายนอก
หลักการของการออกนอกระบบแต่ละมหาวิทยาลัย จะต้องออกนอกระบบเหมือนกันหมด แต่รูปแบบของการบริหารภายในมหาวิทยาลัยแต่ละ
แห่ง ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ภายใน 6 เดือนนี้ จะมีความเคลื่อนไหวจากทบวงออกมาให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งได้เตรียมตัว ปัจจุบัน
มหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบแล้วได้แก่ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยสุรนารี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และที่กำลัง
จะออกนอกระบบอีกแห่งคือ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่เชียงราย
*****************
|