รายละเอียด :
|
นักวิจัยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี สำรวจปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่รอบอ่าว
ปัตตานี ชี้สาเหตุมาจากการขยายตัวของชุมชนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ส่งผลสู่ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอ่าวปัตตานี
เร่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรีบดำเนินการปรับปรุงแก้ไข เพื่อรองรับการขยายตัวและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมของอ่าวให้ยั่งยืน
อ่าวปัตตานีเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดปัตตานี มีพื้นที่ 74 ตารางกิโลเมตร แนวโน้มการขยายตัวของกิจกรรม
ทางเศรษฐกิจในพื้นที่รอบอ่าวปัตตานีค่อนข้างสูง เป็นผลให้อ่าวปัตตานีกลายเป็นแหล่งสะสมของเสียและสิ่งปฏิกูลจากโรง
งานอุตสาหกรรมที่ตั้งขึ้นบริเวณปากแม่น้ำปัตตานี น้ำเสียจากชุมชนถูกปล่อยลงสู่อ่าวปัตตานีโดยยังไม่มีการจัดระบบและ
ควบคุมน้ำทิ้งอย่างมีประสิทธิภาพ การทิ้งขยะแบบเทกองบนพื้นดินในเขตอุตสาหกรรมโดยไม่มีกรรมวิธีจัดการอย่างถูกต้อง
ทำให้น้ำฝนและน้ำทะเลชะล้างของเสียลงสู่อ่าวมาอย่างต่อเนื่อง ขยะบางประเภทมีส่วนประกอบของโลหะหนักและสารเคมี
สามารถสะสมในห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ อันจะเป็นการทำลายแหล่งทรัพยากรโดยเฉพาะสัตว์น้ำในอ่าวและเป็นอันตราย
ต่อผู้บริโภคในที่สุด
เมื่อปี พ.ศ. 2530 นักวิจัยชาวเนเธอร์แลนด์ ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมรอบอ่าวปัตตานี ถึง
ปริมาณโลหะหนักในสิ่งมีชีวิตหน้าดินและในตะกอนบริเวณชายฝั่งทะเลภาคใต้และประเทศมาเลเซีย พบว่าบริเวณอ่าวปัตตานี
ในโลหะหนักประเภทสังกะสี ทองแดง แคดเมียม และตะกั่ว ในปริมาณสูงกว่าอ่าวอื่น ๆ ในย่านเดียวกัน จึงไม่ควรเพิ่มสาร
โลหะหนักและของเสียต่าง ๆ ลงสู่อ่าวปัตตานีอีกต่อไป
ผศ. ดร. ครองชัย หัตถา อาจารย์ภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลา
นครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และผู้วิจัยเรื่องการสำรวจปัญหามลพิษรอบอ่าวปัตตานี เปิดเผยว่าการวิจัยเรื่อง การสำรวจปัญหา
มลพิษสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่รอบอ่าวปัตตานี เน้นศึกษา 3 บริเวณได้แก่ 1) เขตโรงงานอุตสาหกรรมและสถานประกอบการ
บริเวณปากแม่น้ำปัตตานี 2) ย่านชุมชนรอบอ่าว และ 3) พื้นที่ชายฝั่งทะเลรอบอ่าว
ข้อสรุปจากการวิจัย 3 บริเวณเป้าหมายพบว่า บริเวณเขตอุตสาหกรรมและผ่านสถานประกอบการส่วนใหญ่เป็น
โรงงานประเภทแปรรูปผลิตภัณฑ์สัตว์ทะเลเช่น โรงงานปลาป่น โรงงานอาหารทะเลกระป๋อง โรงงานทำลูกชิ้นปลา โรงงาน
ชำแหละปลาหมึกและกุ้งทะเลแช่แข็ง เป็นต้น นอกจากนั้นเป็นโรงงานที่เกี่ยวข้องเช่น โรงงานทำน้ำแข็ง อู่ต่อและซ่อมเรือ และ
อื่น ๆ รวมประมาณ 40 โรงงาน
ด้วยเหตุที่โรงงานส่วนใหญ่เป็นเขตอุตสาหกรรมเป็นโรงงานประเภทแปรรูปผลิตภัณฑ์สัตว์ทะเล ทำให้น้ำทิ้งมีค่า
ความเข้มข้นของสารอินทรีย์สูง และมีน้ำทิ้งจากกระบวนการผลิตและการล้างวัตถุดิบและชำระล้างโรงงานเป็นปริมาณมากและ
ต่อเนื่อง ผลการศึกษาโรงงานจำนวน 18 โรง พบว่ามีปริมาณน้ำทิ้งรวม 2,525 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน มีปริมาณของเสียก่อน
การบำบัดคิดเป็นค่า BOD ประมาณ 1,800 กิโลกรัมต่อวัน และมีค่าตะกอนแขวนลอยในน้ำทิ้งประมาณ 1,300 กิโลกรัม
ต่อวัน หากนับรวมโรงงานนอกเขตอุตสาหกรรม สถานประกอบการ แพปลาและชุมชนบริเวณใกล้เคียงกันด้วยแล้วประมาณว่า
มีน้ำทิ้งลงสู่อ่าวปัตตานีไม่ต่ำกว่าวันละ 10,000 ลูกบาศก์เมตร
แม้ว่าโรงงานบางส่วนได้ติดตั้งอุปกรณ์บำบัดน้ำเสียแล้ว แต่การดำเนินการยังมีปัญหาด้านเทคนิคและระบบการ
ควบคุมดูแล โรงงานบางประเภทมีของเสียที่กำจัดยากเช่น โรงงานชำแหละปลาหมึก น้ำทิ้งมีสีดำและมีปริมาณตะกอนแขวน
ลอยมาก ต้องใช้เทคนิคและเงินลงทุนสูงในการดำเนินการ นอกจากนั้นแล้วในเขตอุตสาหกรรมยังไม่มีระบบคูระบายน้ำ ทำให้
โรงงานต้องปล่อยน้ำทิ้งลงสู่ทะเลและแม่น้ำปัตตานีโดยตรง บางโรงงานปล่อยน้ำทิ้งออกนอกโรงงานให้ไหลไปเองตามธรรม-
ชาติ จึงพบเห็นน้ำเสียแช่ขังอยู่ในเขตอุตสาหกรรมโดยทั่วไป เขตอุตสาหกรรมมีแผนจะจัดทำระบบบำบัดน้ำเสียรวม ขณะนี้
อยู่ระหว่างออกแบบดำเนินการ คาดว่าหลังจากใช้ระบบบำบัดน้ำเสียรวมแล้ว ปัญหาต่าง ๆ จะผ่อนคลายลงมาก
สำหรับบริเวณเขตเทศบาลและย่านชุมชนรอบอ่าวนั้น มีเพียง 2 ชุมชนที่มีการจัดเก็บขยะและจัดการอย่างเป็น
ระบบได้แก่ เทศบาลเมืองปัตตานีและสุขาภิบาลยะหริ่ง นอกจากนั้นชุมชนทั่วไปไม่มีระบบการกำจัดขยะที่ดีพอ ชาวบ้านส่วน
ใหญ่ทิ้งยยะในที่ว่างของชุมชน จึงพบเห็นกองขยะและเศษขยะกระจายอยู่ทั่วไปบริเวณชุมชนรอบอ่าวปัตตานี สำหรับการ
สำรวจบริเวณชายฝั่งทะเลรอบอ่าวปัตตานีได้แก่ บริเวณปากแม่น้ำปัตตานี หมู่บ้านแหลมนก บ้านบางปู บ้านดาโต๊ะ บ้านตะโละ
สะมิแล และบริเวณปลายแหลมโพธิ์ ส่วนใหญ่เป็นขยะจำพวกถุงพลาสติก เศษไม้ โฟม ขวดเครื่องดื่มและของใช้ต่าง ๆ ใน
ครัวเรือนที่ถูกทิ้งจากบ้านเรือนและเรือประมง
ผศ. ดร. ครองชัย หัตถา อธิบายถึงสาเหตุของปัญหาดังกล่าวว่า ประชาชนและผู้ประกอบการที่อาศัยรอบอ่าว
บางส่วนยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจัดการขยะและน้ำทิ้งเท่าที่ควร ประกอบกับหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง
ไม่ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมในการกำหนดสถานที่และวิธีการกำจัดของเสียที่มีประสิทธิภาพ ตลอด
จนการจัดทำระบบบำบัดน้ำเสียรวมและการจัดการขยะกำลังจะดำเนินการทั้ง ๆ ที่ได้ประกาศเป็นเขตอุตสาหกรรมมาร่วม
10 ปี
ผู้วิจัยเสนอแนะว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว โดยถือเป็นนโยบายสำคัญควบคู่ไปกับการส่งเสริม
การลงทุนในภูมิภาค องค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชน ชาวบ้านและผู้ประกอบการ ควรตระหนัก
ถึงการควบคุมป้องกันปัญหาและร่วมมือกันทำงานให้มากขึ้น ไม่ควรปล่อยให้เกิดปัญหาขึ้นก่อนแล้วค่อยแก้ไขภายหลัง นอกจาก
นั้นยังควรวางแผนระยะยาวเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะมีการลงทุนด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย จึงควรมี
การศึกษาความเหมาะสมและประเมินผลกระทบไว้ล่วงหน้า เช่น การขยายตัวของอุตสาหกรรม การจัดหาแหล่งทิ้งขยะ และ
การเลือกระบบบำบัดของเสียประเภทต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจกับประชาชน ผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ให้เกิดความตระหนักและรับผิดชอบในหน้าที่ เพื่อให้เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมบริเวณอ่าวปัตตานี ซึ่งเป็น
สมบัติของส่วนรวมที่จำเป็นต้องดูแลรักษาและใช้ประโยชน์ทรัพยากรจากอ่าวให้ยั่งยืนยาวนานต่อไป
******************
|