อาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประสบความสำเร็จในการวิจัยทดลองใช้น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มเปรี้ยว
และไขสบู่ เตรียมสารเร่งน้ำยางพาราตามโครงการพระราชดำริ
รองศาสตราจารย์ ดร. นพรัตน์ บำรุงรักษ์ หัวหน้าโครงการทดลองการใช้ประโยชน์จากน้ำมันปาล์มดิบเพื่อเตรียม
สารเร่งน้ำยาง ได้เปิดเผยว่าตามที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ดำเนินงานโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก
ตามแนวพระราชดำรินั้น ปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่ประสบคือ การจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบเพราะปริมาณที่ผลิตได้มีน้อย และ
ต้องเก็บรักษาไว้หลายวันก่อนนำส่งโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระราชดำริให้
ทดลองใช้ประโยชน์จากน้ำมันปาล์มดิบดังกล่าวในด้านอื่น รวมทั้งการนำไปทดลองเตรียมสารเร่งน้ำยางพาราด้วย สำหรับการใช้
สารเร่งน้ำยางพารานั้น ศูนย์วิจัยการยางสงขลา เคยทำการทดลองแต่มีปัญหาหลายประการในขณะนั้น จึงไม่เป็นที่นิยมและที่ใช้
กันอยู่ในปัจจุบันก็ใช้เร่งน้ำยางในต้นยางแก่พร้อมที่จะโค่นทิ้งเพื่อปลูกยางใหม่เท่านั้น ในขณะที่บางประเทศใช้กับยางใหม่ที่เริ่ม
เผิดกรีดกันเลยทีเดียว ทั้งนี้ผู้ใช้ต้องมีความรู้เรื่องความเข้มข้นของสารที่เหมาะสม ความถี่ในการทา พันธุ์ยาง เวลาที่ควรใช้
ตลอดจนตำแหน่งที่จะทาด้วย นอกจากนั้นสิ่งแวดล้อมได้แก่ ความชื้นในอากาศ ความชื้นในดิน อุณหภูมิ ชนิดดิน และปริมาณ
ปุ๋ยที่เพียงพอจะมีผลต่อการใช้สารเร่งน้ำยางด้วย
จากการศึกษาเป็นเวลานาน 9 ปี ของสถาบันวิจัยยางประเทศมาเลเซีย โดยใช้ระบบกรีดครึ่งต้น วันเว้นวันและ
ใช้สารเร่ง พบว่ายางบางพันธุ์จะให้น้ำยางน้อยลงในปีหลัง ๆ แต่เมื่อเว้นระยะวันกรีดให้ห่างออกไป โดยกรีดทุกสามวันผลผลิต
จะดีขึ้น ในขณะที่ยางบางพันธุ์การแบ่งหน้ากรีดออกเป็นสี่ส่วนแล้วใช้สารเร่ง จะให้ผลผลิตน้ำยางใกล้เคียงกับการแบ่งลำต้นออก
เป็นสองส่วนแต่ไม่ใช้สารเร่ง โดยวิธีนี้จะประหยัดเปลือกกรีดได้มาก ทำให้อายุของต้นยางยืนยาวขึ้นอีก ส่วนในประเทศไววอรี่-
โคสต์ ทวีปอัฟริกาพบว่าการกรีดยางแบบรอบลำต้นจะได้ผลผลิตใกล้เคียงกับการกรีดเพียงครึ่งต้น ในระบบกรีดทุกสามวันหาก
ใช้สารเร่งเข้มข้นร้อยละ 5 ทาปีละ 4 ครั้ง ในอดีตที่ผ่านมาการเตรียมสารเร่งน้ำยางได้กระทำโดยผสมตัวยาเอทธีฟอน
(ethephon) หรืออีเทรล ในน้ำและน้ำมันพืชชนิดต่าง ๆ เพื่อค้นหาสารที่มีลักษณะเหนียวกว่ายึดติดลำต้นยางได้ดี ซึ่งพบว่า
ขณะนี้น้ำมันปาล์มดิบเป็นที่นิยมของชาวสวนในบางประเทศ
ในการวิจัยโดยร่วมมือของสำนักวิจัยและพัฒนากับคณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่
สถานีทดลองเทพา จังหวัดสงขลา เพื่อศึกษาผลของการใช้สารเร่งน้ำยางในน้ำมันปาล์มดิบกับสวนที่เปิดกรีกใหม่ที่ปลูกยาง
พันธุ์ RRIM 600 ในปีแรกใช้สารเอทธีฟอนผสมกับน้ำมันปาล์มดิบทาเหนือรอยกรีด พบว่าต้นยางที่กรีดโดยใช้สารเร่งให้
ผลผลิตเนื้อยางเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ใช้สารเร่งเลยประมาณร้อยละ 64 ในระบบกรีดครึ่งต้นทุกสามวันและในกลุ่มที่ใช้สาร
เร่งด้วยกันนั้น ต้นยางที่ใช้สารเร่งที่ความเข้มข้นร้อยละ 5 ทา 6 ครั้งต่อปี มีแนวโน้มว่าให้ผลผลิตเนื้อยางสูงกว่าต้นที่ใช้
สารเร่งร้อยละ 2.5 ทา 8 ครั้งต่อไป โดยไม่พบอาการผิดปกติของต้นยางแต่ประการใด สำหรับการทดลองในปีที่สองกับ
สวนเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ทดลองเพิ่มเติมโดยใช้น้ำมันปาล์มดิบที่มีกรดไขมัน
อิสระสูง (น้ำมันปาล์มเปรี้ยว) และไขสบู่ (soap stock) ซึ่งเป็นผลิตผลพลอยได้จากกระบวนการลดกรดในอุตสาหกรรม
น้ำมันปาล์มและเป็นส่วนผสมสารเร่งน้ำยาง โดยอุ่นให้ลดความหนืดก่อนผสมพบว่า เมื่อใช้สารเอทธีฟอนผสมร้อยละ 5
ทาเหนือรอยกรีดทุกเดือน ผลผลิตเนื้อยางแห้งรวมตลอดเวลา 6 เดือน ของสารทั้งสองชนิดอยู่ในระดับใกล้เคียงกันและ
ไม่แตกต่างจากการใช้น้ำมันปาล์มดิบปกติ จึงแสดงว่าทั้งน้ำมันปาล์มเปรี้ยวและไขสบู่ สามารถใช้แทนน้ำมันปาล์มดิบได้
ซึ่งจะเป็นผลดีเพราะจะได้ใช้ประโยชน์จากของเสีย และบางฤดูกาลน้ำมันปาล์มดิบหายากหรือมีราคาแพง อย่างไรก็ตาม
เมื่อเปรียบเทียบผลผลิตเนื้อยางแห้งตลอดช่วงกรีด โดยใช้น้ำมันปาล์มเปรี้ยว ความเข้มข้นสารเร่งร้อยละ 5 (กรีดครึ่งต้น
วันเว้นสองวัน) กับการกรีดโดยวิธีของรัฐ (กรีดครึ่งต้นวันเว้นวัน) แล้วปรากฏว่าผลผลิตอยู่ในระดับใกล้เคียงเช่นกัน
(55 ก.ก. ต่อ 10 ต้น) ส่วนการใช้สารเร่งน้ำยางที่มีความเข้มข้นร้อยละ 2.5 และ 1.5 ในระบบกรึดครึ่งต้นวันเว้นสอง
วันนั้น จะได้ผลผลิตน้อยกว่า อนึ่งปริมาณของสารเร่งที่ใช้ทาแต่ละครั้งนั้นมีน้ำหนักประมาณ 1 กรัม หรือ 1 ลบ. ซม.
ในปีที่สามได้ขยายผลการทดลองดังกล่าวไปยังภาคอีสาน โดยการสนับสนุนงบประมาณจากโครงการอีสาน
เขียว กับส่วนยางใหม่พันธุ์เดิม โดยได้แบ่งหน้ากรีดออกเป็นสามส่วน ที่อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ปรากฏว่า
ผลการทดสอบในเวลา 2 เดือนแรกนั้น น้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มเปรี้ยว (สารเร่งร้อยละ 5 กรีดทุกสามวันหรือ
ร้อยละ 2.5 กรีดทุกสองวัน ทาเหนือรอยกรีดทุกเดือน) ให้เนื้อยางสูงกว่าวิธีของชาวสวน (แบ่งสามส่วนกรีดทุกสองวัน)
ประมาณร้อยละ 45 และเมื่อกรีดครบ 6 เดือน ชาวสวนมีความพอใจในวิธีใหม่นี้ จากผลการทดลองทั้งหมดอาจสรุปได้
ว่า ระบบกรีดยางพาราโดยใช้สารเร่งน้ำยางผสมกับน้ำมันปาล์ม (ปาล์มดิบ ปาล์มเปรี้ยว หรือไขสบู่) เป็นวิธีที่ควรให้
ความสนใจอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยในขณะนี้ เพราะจะช่วยประหยัดเปลือกยางทำให้กรีดยางได้นานขึ้น ยังช่วยลด
วันกรีดลง ตลอดจนช่วยลดจำนวนคนกรีดที่กำลังหายากได้อีกด้วย
*******************
|