รายละเอียด :
|
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ทำโครงการวิจัย
เรื่อง "การศึกษาระบบการปลูกลองกองในภาวะปัจจุบัน" ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แก่ ปัตตานี ยะลา
และนราธิวาส พบสวนลองกองที่ปลูกได้มาตรฐานเพียง 5 % ยะลามีสวนลองกองมากที่สุด และนราธิวาสผลผลิต
ลองกองได้คุณภาพที่สุด
ผศ. สมพร จันทเดช หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการวิจัยเรื่อง "การศึกษาระบบการปลูกลองกอง
ในภาวะปัจจุบัน" ได้ชี้แจงถึงผลการวิจัยว่าได้เริ่มทำการวิจัยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2534 และสิ้นสุดการวิจัยเดือน
กันยายน 2535 รวมระยะเวลา 1 ปี โดยได้เข้าไปวิจัยภาคสนามในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คือ ปัตตานี
ยะลา และนราธิวาส พบพื้นที่ทำสวนลองกองส่วนใหญ่มีขนาด 1 - 3 ไร่ คิดเป็น 54 % ที่เป็นสวนขนาดใหญ่มี
จำนวนน้อย จังหวัดที่มีพื้นที่และปริมาณการปลูกลองกองมากที่สุดคือ อ.บันนังสตา จ.ยะลา และที่จังหวัดนราธิวาส
ปัตตานี ตามลำดับ ปัจจุบันพบว่าจำนวนต้นลองกองของเกษตรกรที่ยังไม่ได้รับผลผลิตมีมากกว่าจำนวนต้นที่ได้รับ
ผลผลิตแล้วประมาณ 2 เท่า ทั้งนี้เนื่องจากต้นลองกองกำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต จะสามารถให้ผลได้ประมาณ
8 - 10 ปี และเกษตรกรเจ้าของสวนทั้ง 3 จังหวัด นิยมปลูกโดยการเพาะเมล็ดลักษณะสวน โดยมากเป็นสวนหลัง
บ้านถึง 64 % โดยนิยมปลูกแซมร่วมกับไม้ผลชนิดอื่น เช่น เงาะ ทุเรียน มะพร้าว ฯลฯ
ปัญหาและอุปสรรคที่พบมาก 3 ประการคือ เรื่องของแหล่งน้ำที่จะนำไปบำรุงเลี้ยงต้นลองกองไม่
เพียงพอ รองลงมาคือเรื่องโรคที่รบกวนต้นลองกองคือ โรคราสีชมพูและราดำ ส่วนศัตรูพืชที่สำคัญคือ หนอน
ซอนเปลือกและค้างคาว แต่เกษตรกรเจ้าของส่วนใหญ่ไม่นิยมใช้สารเคมีในการป้องกันและปราบศัตรูพืช เพราะ
ยังไม่มีหน่วยงานใดทำการวิจัยเกี่ยวกับสารเคมีที่ตกค้างในผลลองกองว่า อันตรายมากน้อยเพียงใด และปัญหา
ประการสุดท้ายคือ เรื่องของราคา ซึ่งราคาจะอยู่ในระดับใดนั้น ขึ้นอยู่กับคุณภาพของผลผลิตและเกษตรกรนิยม
ขายให้พ่อค้าขายปลีกถึง 60 % โดยวิธีชั่งน้ำหนัก ซึ่งขายได้กิโลกรัมละ 40 - 60 บาท หรือขายแบบเหมาสวน
โดยไม่มีการชั่งน้ำหนัก ในราคาต้นละ 6,000 - 7,000 บาท
ในด้านการปรับปรุงคุณภาพของผลผลิต จากการวิจัยได้สำรวจพบว่าเกษตรกรเจ้าของสวนมักจะ
ศึกษาระบบการปลูกหรือการดูแลรักษาต้นลองกองจากประสบการณ์ของตนเองถึง 86 % จากการสอบถามเพื่อน
เจ้าของสวน 10 % และได้รับความรู้หรือขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐเพียง 2 % แต่คุณภาพของผล
ผลิตที่ดีพบมากที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ทั้งนี้เนื่องจากเจ้าของสวนลองกองเป็นเกษตรกรก้าวหน้า รู้จักนำวิทยา
การใหม่ ๆ มาพัฒนาและปรับใช้กับสวนของตนเองมากขึ้น
ข้อมูลการวิจัยครั้งนี้ได้นำไปมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 3 จังหวัด เพื่อเป็นข้อมูลในการ
ปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพในการผลิตลองกองต่อไป
*********************
|