: : : รายละเอียดข่าว : : :

ข่าว ปีที่ :ข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 04 ประจำเดือน 04 2547
หัวข้อข่าว : ระดมแก้ปัญหาชายแดนใต้ ที่ ม.อ. ปัตตานี เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างสันติสุข และพัฒนา ที่ยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
รายละเอียด :
         นักวิชาการและประชาชน  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  วิทยาเขตปัตตานี  ได้ระดม
ความคิดในการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2547  ที่หอประชุม
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  วิทยาเขตปัตตานี  โดยมีโต๊ะครูปอเนาะ  และผู้บริหารโรงเรียนเอกชน
สอนศาสนาอิสลม  จังหวัดชายแดนภาคใต้  ผู้นำท้องถิ่น  ผู้แทน NGO  ผู้แทนหอการค้า  และ
สภาอุตสาหกรรมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  และมีผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาประมาณ 300 คน  
ทั้งนี้วิทยากรประกอบด้วย  นายวินัย  สะมะอูน  รองประธานคณะกรรมการกลางอิสลาม
แห่งประเทศไทย  ผศ.ดร.อิสมาแอ  อาลี  ผู้อำนวยการวิทยาลัยอิสลามศึกษา  ม.อ.ปัตตานี  
ผศ.ปิยะ  กิจถาวร  นักวิชาการรัฐศาสตร์ ม.อ.ปัตตานี  นายกิตติ  กิติโชควัฒนา  อดีตผู้ว่าราชการ
จังหวัดยะลา  เพื่อเป็นแนวทางการรวมพลังของสังคมในการสร้างสันติสุขและพัฒนาที่ยั่งยืนใน
จังหวัดชายแดนภาคใต้
         ผศ.ดร.วรวิทย์  บารู  รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและชุมชน  มหาวิทยาลัย
สงขลานครินทร์  วิทยาเขตปัตตานี  กล่าวกับผู้ที่ร่วมสัมมนาว่า  เนื่องจากสถานการณ์ความ
ไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  ซึ่งส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสังคมในพื้นที่ทุก
ระดับ  เกิดความสับสนและความหวาดระแวงอย่างกว้างขวาง  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  
วิทยาเขตปัตตานี  ในฐานะสถาบันการศึกษาในพื้นที่จึงได้เชิญประชาคมในพื้นที่จังหวัดชายแดน
ภาคใต้ระดมแนวคิด  เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา  โดยมีนักวิชาการ  หอการค้า
จังหวัด  สภาอุตสาหกรรม  ผู้นำท้องถิ่น  ผู้นำศาสนา  ผู้แทน NGO  และผู้สนใจรวมประมาณ
300 คนร่วมระดมความคิด  โดยมหาวิทยาลัยฯ  จะทำหน้าที่ประมวลข้อมูล  และแนวทางการ
แก้ปัญหาจากประชาคม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาในการแก้ปัญหาต่อไป
         ผศ.ปิยะ  กิจถาวร  นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  วิทยาเขต
ปัตตานี  เปิดเผยว่าถึงสาเหตุการเกิดปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จากโครงการวิจัย
เรื่องข้อค้นพบจากการศึกษา  เพื่อทำความเข้าปัญหาพื้นฐานของจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า
มาจากสาเหตุ 3 ประการคือปัญหาแนวคิดของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นมาในสมัยการล่า
อาณานิคมซึ่งแนวคิดเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์  ทำให้มีการแบ่งแยกในเรื่องเชื้อชาติ  ศาสนา  
ประกอบกับภาครัฐได้นำเรื่องของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นตัวกำหนดการแบ่งแยก  และเครื่องมือ
ในการใช้ความต่างของเชื้อชาติ  ศาสนาและวัฒนธรรม  ทำให้เกิดการแบ่งแยก  การเข้าใจ
ความต่างรัฐทำได้ไม่ยาก  แต่ในส่วนของประชาชนในพื้นที่นั้นได้ใช้รูปธรรมที่ชัดเจนในการ
จัดการชุมนุมของตนเองและแก้ปัญหาความต่างในพื้นที่อยู่ตลอดเวลา  คือมีการเรียนรู้วัฒนธรรม  
และประเพณีซึ่งกันและกัน  แต่ในขณะเดียวกันฝ่ายรัฐเองและสื่อได้สร้างความต่างของ
กลุ่มชาติพันธุ์ผู้มีอิทธิพลต่อการเกิดการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่  โดยดูได้จากการแก้
ปัญหาของรัฐที่นำประเด็นของความต่างของกลุ่มชาติพันธุ์มาเป็นประเด็นสำคัญทำให้
ผู้ที่อยู่นอกพื้นที่เข้าใจเช่นนั้น  ทั้งนี้ส่งผลต่อพฤติกรรมวัยรุ่นในพื้นที่ที่เริ่มมีปฏิกิริยา
ต่อต้านอำนาจรัฐเพราะเกิดจากการได้รับความกดดันจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ
         ผศ.ปิยะ  กิจถาวร  เปิดเผยถึงผลการศึกษาวิจัยอีกว่า  แนวทางการลดความขัดแย้ง
ในพื้นที่นั้นมีอยู่ 7 ประการคือ  ต้องเข้าใจหลักของศาสนาทุกศาสนาในพื้นที่  การไปมา
พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของคนในพื้นที่ที่ต่างศาสนา  รู้ถึงความต้องการของทั้งฝ่ายเรา
และฝ่ายเขา  เมื่อมีกรณีพิพาทกันไม่ควรกล่าวโทษผิดซึ่งกันและกันควรมีการปรึกษาหารือกัน  
การให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนในพื้นที่ควรเท่ากันไม่มีความต่างในศาสนา  และสุดท้าย
รัฐควรมีการปราบโจรและข้าราชการที่ทุจริตอย่างเด็ดขาด  เพราะฉะนั้นปัญหาพื้นที่จังหวัด
ชายแดนภาคใต้  ไม่ใช่เป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้  โดยง่ายที่สุดที่รัฐพยายามแก้ไขคือสร้าง
ความเข้าใจในพื้นที่  และเจ้าหน้าที่เองต้องมีการละลายพฤติกรรมให้สามารถใช้ชีวิต
อยู่กับประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีความเข้าใจกัน
         นายวินัย  สะมะอูน  รองประธานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย  
กล่าวถึงมิติของกลุ่มชาติพันธุ์ว่าเป็นมิติหนึ่งที่สร้างความไม่เข้าใจให้กับรัฐ  ปัญหาต่าง  ๆ  
ทุกฝ่ายมองเห็นตรงกัน  แต่อุปสรรคของการแก้ปัญหาอยู่ที่ว่าการปฏิบัติที่ไม่ได้ทำอย่าง
จริงจัง  ไม่จริงใจ  มีปัญหาครั้งหนึ่ง  ก็ทุ่มงบประมาณเข้ามาในพื้นที่ครั้งหนึ่ง  คนปฏิบัติเอง
หรือเจ้าหน้าที่ที่แก้ปัญหาเองยังมีความหวาดระแวง  ดั้งนั้นการแก้ปัญหาต้องแก้ที่คนปฏิบัติ
และผู้แก้ปัญหาจะใช้ความรู้สึกตัวเองไม่ได้ในการแก้ปัญหา  ต้องอาศัยความรู้  ส่วนการข่าว
ของรัฐยังอ่อนแอ  รัฐได้ข้อมูลจากสายข่าวของหน่วยงานภาครัฐแต่เพียงด้านเดียว  โดยความ
เป็นจริงแล้วรัฐต้องรับฟังสายข่าวจากประชาชนด้วย  ซึ่งปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน
ภาคใต้  ไม่ใช่เป็นปัญหาของชาวมุสลิมในพื้นที่นี้เท่านั้น  แต่มีผลกระทบถึงจิตใจชาวมุสลิม
ทั่วประเทศ  เพราะนั้นการแก้ไขปัญหาต้องมาจากความคิดเห็นของชาวมุสลิมทั้งประเทศ  
ดังกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คือเข้าถึง  เข้าใจและพัฒนา
         ผศ.ดร.อิสมาแอ  อาลี  ผู้อำนวยการวิทยาลัยอิสลามศึกษา  มหาวิทยาลัยสงขลา
นครินทร์  วิทยาเขตปัตตานี  ได้เสนอแนะต่อผู้เข้าร่วมสัมมนาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่
ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมานั้น  ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งจากความหลากหลายทางวัฒนธรรม  
หรือทางศาสนา  ชาวมุสลิมต้องการความสันติสุขตามหลักการของศาสนา  แต่จะมีการต่อสู้กัน
ก็จะเป็นไปในลักษณะการต่อสู้โดยสันติวิธี  มีกฏิกาอยู่ในกฎระเบียบของภาครัฐ ปัจจุบัน
โอกาสการต่อสู้อย่างสันติวิธีของคนที่นี้มีมากมายโดยเฉพาะระบบการปกครองท้องถิ่น
ที่คนในพื้นที่เลือกปกครองตัวเอง  ตั้งแต่ระดับองค์การบริหารส่วนตำบล  เทศบาล  และ
องค์การบริหารส่วนจังหวัด  ซึ่งเราสามารถที่จะปกครองตนเองโดยชาวมุสลิมเอง  ปัญหาที่
เกิดขึ้นเกิดจากปฏิกิริยาตอบโต้ของผู้ที่ถูกกดดัน  เช่นกรณีที่มีชาวมุสลิมไปศึกษาต่างประเทศ
มากเนื่องระบบการศึกษาไทยไม่สามารถที่จะรองรับนักเรียนมุสลิมโดยเฉพาะนักเรียน
มุสลิมที่เรียนเฉพาะด้านศาสนาอย่างเดียว  จึงมีความจำเป็นต้องไปศึกษายังต่างประเทศ  และ
นอกเหนือจากจากนั้นรัฐบาลไทยไม่เคยเข้าไปดูแล  อำนวยความสะดวกให้นักศึกษาเหล่านั้น  
จึงกลายเป็นผู้ถูกทอดทิ้งสร้างความหวาดระแวงระหว่างนักศึกษาและภาครัฐของไทย  และ
เมื่อจบการศึกษาแล้วเขาเหล่านั้นมีความต้องการที่จะมีทำงานในพื้นที่  แต่ด้วยระบบของ
การศึกษา  และระบบของราชการไทยที่ไม่เอื้อต่อนักศึกษาเหล่านั้น  ไม่สามารถรองรับ
วุฒิการศึกษาของผู้ที่จบมา  เพราะฉะนั้นรัฐทำอย่างไรก็ได้ที่ให้นักศึกษาที่จบจากต่างประเทศ
สามารถเข้ามาทำงานในระบบราชการไทยได้
         ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้เสนอแนวคิดหลากหลาย  อาทิ  ประเด็นที่ทางรัฐบาลยังไม่เข้าใจ
พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  ประกอบกับรัฐพยายามแทรกแซงชีวิต  การใช้ชีวิตความเป็นอยู่
ที่เป็นแบบมุสลิม  นอกจากนี้ได้กล่าวชมรัฐบาลในด้านนโยบายที่พยายามพัฒนาจังหวัด
ชายแดนภาคใต้  แต่ทั้งนี้แนวทางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ขาดความจริงจังและจริงใจ  มีอคติ
โดยใช้ความรู้สึกในการแก้ปัญหา  ซึ่งจะส่งผลกระทบในการสร้างความหวาดระแวงดังนั้นทางรัฐ
ต้องเข้าใจถึงจะแก้ปัญหาได้

                                             ***********************************
โดย : * [ วันที่ ]