: : : รายละเอียดข่าว : : :

ข่าว ปีที่ :ข่าวปีที่ 5 ฉบับที่ 02 ประจำเดือน 02 2545
หัวข้อข่าว : อธิการบดีให้สัมภาษณ์เรื่องร่าง พ.ร.บ. ใหม่
รายละเอียด :
                     รศ.ดร. ประเสริฐ  ชิตพงศ์  อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  พูดในรายการสภา

กาแฟทางสถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  เมื่อวันที่  12  กุมภาพันธ์  ที่ผ่านมา  

ถึงหลักใหญ่  ๆ  ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติใหม่และบางส่วนที่ประชากรมหาวิทยาลัยยังข้องใจ

และเกิดความวิตกกังวล  งานประชาสัมพันธ์  จึงได้ถอดความบางส่วนมาตีพิมพ์  เพื่อเป็นประโยชน์

สำหรับท่านที่ไม่ได้รับฟังการให้สัมภาษณ์ในวันดังกล่าว

         *  ร่าง  พ.ร.บ. ใหม่  ผ่านที่ประชุมคณบดีส่ง  15,000  ชุด  ให้ผู้เกี่ยวข้องแสดงความ

คิดเห็น

         ปัจจุบันรัฐบาลมีมหาวิทยาลัยอยู่ภายใต้การดูแล  ซึ่งทบวงมหาวิทยาลัยเป็นผู้ดูแลอยู่  

24  มหาวิทยาลัย  มีมหาวิทยาลัยสงฆ์  2  มหาวิทยาลัย  มี  4  มหาวิทยาลัย  ซึ่งออกนอกระบบแล้วคือ  

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี  มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์  มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง  และมหาวิทยาลัย

เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  อีก  20  มหาวิทยาลัย  กำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการเพื่อปรับเป็น

มหาวิทยาลัยนอกระบบคือ  เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่ไม่เป็นหน่วยราชการ  บุคลากรมหาวิทยาลัยเมื่อ

ออกนอกระบบเต็มรูปแบบแล้วจะเป็นพนักงาน  มีอยู่  10  มหาวิทยาลัยได้เสนอพระราชบัญญัติไปแล้ว  

อีก  10  มหาวิทยาลัย  รวมทั้งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  กำลังอยู่ระหว่างการร่างพระราชบัญญัติ  

ซึ่งขั้นตอนของการร่าง  เมื่อร่างโดยกรรมการแล้วจะนำมาสู่ขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็น

         การรับฟังความคิดเห็นนี้  จะต้องรับฟังอย่างกว้างขวางทั้งจากบุคลากร  นักศึกษา  และ

บุคคลภายนอก  ซึ่งขณะนี้มหาวิทยาลัยได้ส่งร่างพระราชบัญญัติไปยังผู้เกี่ยวข้อง  จำนวน  15,000  

ชุด  โดยส่งให้บุคลากรทุกคน  นักศึกษา  1  ใน  3  และบุคคลภายนอกจำนวนหนึ่ง

         *  สาระสำคัญที่มีการเปลี่ยนแปลง

         มหาวิทยาลัยทุกแห่งถือเป็นนิติบุคคล  เป็นหน่วยงานซึ่งต้องมีพระราชบัญญัติมารับรอง  

พระราชบัญญัติฉบับเดิมของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์คือพระราชบัญญัติปี  2522  ใช้มาประมาณ  

30  ปีแล้ว  เมื่อเราจะเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่เป็นส่วนราชการ  เราต้องมีพระราชบัญญัติใหม่ที่มีราย

ละเอียดในร่างพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงไป

         *  สาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงในร่างพระราชบัญญัติใหม่เช่น

         1.  เดิมมหาวิทยาลัยเป็นส่วนราชการ  เมื่อเปลี่ยนแปลงจะไม่เป็นหน่วยราชการ  เป็น

มหาวิทยาลัยที่เป็นหน่วยงานของรัฐ  ซึ่งบริหารโดยมีกฎเกณฑ์เงื่อนไขข้อบังคับซึ่งได้กำหนดขึ้นมา  

ภายใต้การดูแลรับผิดชอบของสภามหาวิทยาลัย  ซึ่งสภามหาวิทยาลัยเป็นองค์กรสูงสุดของมหาวิทยาลัย  

ส่วนหนึ่งของกรรมการสภามหาวิทยาลัยคือ  ผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก  เป็นผู้ซึ่งมีการโปรดเกล้า

แต่งตั้งในพระราชบัญญัติเดิม  สภามหาวิทยาลัยก็คือ  องค์กรสูงสุดของมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกัน  

แต่ใช้ระเบียบราชการในบริหารเช่นเดียวกับหน่วยงานอื่น  แต่ในอนาคตนั้นกฎเกณฑ์  ระเบียบเหล่านี้  

สภามหาวิทยาลัยจะเป็นผู้กำกับ  ไม่จำเป็นต้องใช้ระเบียบราชการ

         2.  บุคลากรของมหาวิทยาลัย  จะถูกเปลี่ยนจากข้าราชการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย    

แต่ไม่ได้มีกำหนดว่าเปลี่ยนทันที  ให้เวลาเปลี่ยนแปลงจากข้าราชการเป็นพนักงาน  โดยไม่มีเวลากำหนด  

ใครจะเป็นข้าราชการต่อไปจนเกษียนอายุราชการก็ได้  แต่ใครที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นพนักงาน  

ถ้าเปลี่ยนใน  2  ปีแรก  หลังจากพระราชบัญญัติมีผลบังคับใช้ก็จะรับเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยเลย  

โดยอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และระเบียบต่าง  ๆ  ของการเป็นพนักงาน  โดยจะมีการประเมินเป็นระยะ  เพื่อ

ดูประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน  แต่ผู้ที่ยังอยู่เป็นข้าราชการต่อก็ปฏิบัติตามกฎระเบียบ

ของทางราชการ

         *  ลูกจ้างประจำจะออกเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยได้  หากเขาต้องการ  ส่วนลูกจ้างชั่วคราว

ก็ยังถือว่าเป็นลูกจ้างชั่วคราวเช่นเดิม

         มหาวิทยาลัยไม่มีนโยบายจะลดจำนวนบุคลากร  แต่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับจะทำให้

เกิดความคล่องตัว  ลดขั้นตอนในการทำงาน  งานที่จะทำจะลดลง  คนจำนวนหนึ่งจะไม่มีความจำเป็น

ที่จะให้ทำงานในจุดเดิม  มหาวิทยาลัยจะนำคนเหล่านี้ไปสร้างงาน  พัฒนางานใหม่ขึ้นมา  ซึ่งตาม

ระเบียบใหม่จะมีความคล่องตัวขึ้นในการพัฒนางานใหม่  ๆ  นั่นมองในแง่ของส่วนบริหารจัดการ  

ส่วนสายการเรียนการสอนก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง

         ตั้งแต่ปี  2541  เป็นต้นมา  เราหยุดรับข้าราชการ  โดยรับเป็นพนักงานแทน  ในปัจจุบัน

มีพนักงานในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ประมาณ  300  คน  โดยอยู่ภายใต้ระเบียบที่รัฐบาลกำหนด

มาให้เป็นพิเศษแก่ทุกมหาวิทยาลัย  เมื่อพระราชบัญญัติใหม่ผ่านออกมากำหนดใช้  มหาวิทยาลัยจะมี

มาตรการหลายอย่างเพื่อเป็นแรงจูงใจให้ข้าราชการปรับเปลี่ยนมาเป็นพนักงาน  เช่น

         -  ผู้ที่สมัครเข้าเป็นพนักงาน  ใน  2  ปีแรก  มหาวิทยาลัยจะรับเข้าเป็นพนักงานโดยไม่ต้อง

ผ่านการประเมิน  แต่หลังจากนั้นผู้สมัครเข้าจะต้องผ่านการประเมินก่อน  หากไม่ผ่านการประเมินก็ยัง

คงเป็นข้าราชการเช่นเดิม  อย่างไรก็ตาม  ตำแหน่งข้าราชการจะค่อย  ๆ  หมดไป  เนื่องจากวันใดก็

ตามที่ผู้ที่ครองตำแหน่งข้าราชการอยู่ปรับเปลี่ยนเป็นพนักงาน  หรือลาออก  หรืออยู่จนเกษียณอายุ  

จะถูกยุบเลิกในวันที่พระราชบัญญัติใหม่มีผลบังคับใช้  ถ้าอธิการบดีและรองอธิการบดีจะเป็นผู้

บริหารต่อ  จะต้องเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยโดยทันที  ส่วนหัวหน้าภาควิชา  คณบดี  และตำแหน่ง

อื่นที่เทียบเท่าเช่นผู้อำนวยการสถาบัน  ศูนย์  สำนัก  ยังมีเวลาให้ตัดสินใจอีก  90  วัน  หลังจากนั้น  

หากเป็นข้าราชการต่อจะเป็นผู้บริหารไม่ได้

         -  หากเป็นข้าราชการบำนาญ  จะได้รับสิทธิของข้าราชการบำนาญ  (ลูกจ้างประจำจะได้

บำเหน็จ)  และหากได้รับเงินเดือนใหม่ของพนักงาน  ซึ่งสูงกว่าเดิมประมาณ  1.5  หรือ  1.6  เท่า  

โดยเฉลี่ยอยู่แล้ว  สิทธิประโยชน์ที่ได้ในแต่ละเดือนคือ  เงินเดือนพนักงานรวมเงินบำนาญ  จึงนับว่า

มากพอสมควร  (ประมาณ  2  เท่าของเงินเดือนเดิม)  สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นแล้วกับการสื่อสารแห่ง

ประเทศไทย  เมื่อครั้งปรับเปลี่ยนจากกรมไปรษณีย์โทรเลข

         ผมเรียนว่าขณะนี้คนจำนวนหนึ่งเริ่มถามแล้วว่าพระราชบัญญัติใหม่จะเสร็จเมื่อไหร่  เขา

ถือว่าที่ทำงานอยู่ปัจจุบันเขาทำงานเกินเงินเดือน  หากปรับเป็นนอกระบบและมีค่าตอบแทนสมน้ำ

สมเนื้อกับงานที่ทำอยู่  เขาก็อยากจะออก  อย่างไรก็ตาม  สิ่งที่ตามมาจากการปรับเปลี่ยนเป็น

พนักงานคือ  การประเมินงาน  เป็นระยะ  ๆ  อย่างน้อยปีละครั้ง  หากผลการประเมินไม่ผ่าน  เราจะ

ให้เวลาในการปรับปรุงตัวเอง  3  ครั้ง  หากยังไม่ปรับปรุงก็จะกระทบกับการทำงาน  ซึ่งระบบ

ราชการปัจจุบันเราทำอย่างนั้นไม่ได้  หากไม่ผิดวินัย  ไม่คอรับชั่น  ก็อยู่ไปได้เรื่อย  ๆ  ความจริง

แล้วความมั่นคงในการทำงานเป็นเรื่องดี  แต่หากไปบั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงาน  ประชาชน

ก็จะมีความคลางแคลงใจว่า  คุ้มหรือไม่กับภาษีที่เขาต้องเสียเพื่อจ้างเรามาทำงาน

         *  พนักงานเงินเดือนสูงขึ้น  จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย

         ประการแรก  รัฐจะให้เงินเพิ่มมาตามฐานที่คิดว่าจะมีคนออกนอกระบบไปเป็นพนักงาน

ในแต่ละปี  โดยใช้ข้อสมมติฐานหลายประการคือ  เชื่อว่าผู้ที่มีอายุ  45  ปีขึ้นไป  ซึ่งมีอายุราชการ

มากกว่า  10  ปี  สนใจจะออกนอกระบบและดูจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีที่

ออกนอกระบบมา  3  ปีเศษ  มีผู้ออกเป็นพนักงานแล้วประมาณ  50  เปอร์เซ็นต์  ประการที่  2  

การทำงานแบบนอกระบบราชการ  ซึ่งมีความรวดเร็ว  คล่องตัว  จะสามารถลดขั้นตอนและค่า

ใช้จ่ายในการทำงานได้พอสมควร  ค่าใช้จ่ายที่ลดลงตรงนี้จะนำไปใช้ในการสร้างงานให้บุคลากร

ให้มากขึ้น  ซึ่งผลที่ตามมาคือ  มหาวิทยาลัยจะมีรายได้เข้ามาบางส่วน  มหาวิทยาลัยก็น่าที่จะดำเนิน

งานไปได้ในช่วงเวลาของการปรับเปลี่ยนให้ลงตัว  ซึ่งถูกกำหนดไว้เป็น  2  ระยะคือ  5  ปีและ  

10  ปี  คาดว่าทุกอย่างคงลงตัว  หลังจากพระราชบัญญัติประกาศใช้ไปแล้วประมาณ  10  ปี  

(พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  คงมีผลบังคับใช้ประมาณกลางปี  2546)

         *  ออกนอกระบบ  ค่าเล่าเรียนแพงขึ้นหรือเปล่า

         ความกังวลเรื่องการขึ้นค่าธรรมเนียมการศึกษา  ในส่วนที่เกี่ยวกับค่าบำรุงค่าธรรมเนียม

ต่าง  ๆ  เราจะไม่ขึ้นค่าธรรมเนียมนักศึกษาบนพื้นฐานของการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ  แต่

การขึ้นค่าธรรมเนียมการศึกษาจะเป็นการขึ้นตามปกติ  ซึ่งแม้จะเป็นมหาวิทยาลัยในระบบราชการเช่น

ปัจจุบันก็จะมีการขึ้นค่าเล่าเรียนเป็นประจำอยู่แล้วตามภาวะความจำเป็น  แต่ให้เกิดผลกระทบต่อ

นักศึกษาน้อยที่สุด

         ถามว่าทำไมมหาวิทยาลัยนอกระบบที่ก่อตั้งขึ้นใหม่กำหนดค่าเล่าเรียนไว้สูง  นั่นเป็นกลไก

และเงื่อนไขของการเป็นมหาวิทยาลัยใหม่  ซึ่งต้องใช้เงินทุนในการพัฒนาและต้องพัฒนาให้ได้เร็ว  

เพราะเงินทุนจากรัฐยังมีข้อจำกัด  แต่ในส่วนของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  

ค่าใช้จ่ายต่อหัวของบัณฑิตปัจจุบันต่ำกว่ามหาวิทยาลัยบางแห่งที่เป็นหน่วยงานของรัฐ  ไม่มีการ

ปรับค่าหน่วยกิตและมีนักศึกษาเข้าศึกษาเพิ่มมากขึ้นในอัตราปกติ  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

ทุกวันนี้  เปิดหลักสูตรปริญญาเอกจำนวนมาก  เนื่องจากนำเงินที่ได้รับไปพัฒนาและปรับเปลี่ยน  

เงินที่เหลือใช้ในแต่ละปีไม่ต้องส่งคืนคลังและไม่จำเป็นต้องรีบใช้ให้หมดเพราะกลัวถูกยึดกลับ  

เพราะมีพระราชบัญญัติเขียนไว้ให้เงินที่เหลือเป็นเงินสะสมที่มหาวิทยาลัยสามารถนำมาใช้ได้

         ผมเห็นว่าความเห็นที่แตกต่างกันเป็นเรื่องปกติของสังคมมหาวิทยาลัย  เมื่อไหร่ที่คน

มหาวิทยาลัยเห็นเหมือนกันหมด  อาจนำไปสู่ความเสียหายได้  เพราะจะไม่มีการเตือนให้มีการยับยั้ง

สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้  ผมคงต้องขอบคุณอาจารย์เหล่านี้และเคารพในความแตกต่างด้านความคิดเห็น  

ถ้าจะหันไปหาทางเลือกอื่นนอกจากการใช้  พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้หรือไม่

         สิ่งที่ต้องนำเสนอต่อประชาคมนี้  จะต้องเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับสิ่งที่รัฐบาลได้ให้แนว

ทางมา  เพราะจะเป็นเงื่อนไขที่รัฐบาลเองต้องใช้ในการจัดสรรงบประมาณมาให้ใช้  หากเราคิดเป็น

อย่างอื่นคงคิดได้  แต่แนวทางหลักคงจะต้องไปสอดคล้องกับแนวทางที่รัฐบาลให้มา  รัฐบาลเอง

ได้ให้แนวทางมาชัดเขนว่าต้องการเห็นการพัฒนาของมหาวิทยาลัย  โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีความ

พร้อมแล้ว  ออกไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับ  ซึ่งจะทำให้บริหารจัดการได้ด้วยโดยระบบที่พึง

จะเกิดขึ้นตามที่กำหนดไว้ให้เป็นบทบาทของสภามหาวิทยาลัย  ที่จะทำให้การบริหารการทำงานเป็น

ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ฉะนั้นในฐานะของฝ่ายที่จะเป็นองค์กรของรัฐ  เราคงต้องใช้แนวทาง

ตามที่เป็นเชิงนโยบาย  ส่วนความคิดอื่น  ๆ  ที่แตกต่างก็ย่อมจะทำได้หลายทาง  เช่น  การเสนอ

ไปยังรัฐบาลเพื่อให้กำหนดนโยบายที่แตกต่างออกไป  เป็นต้น



                                                  ****************************
โดย : 192.168.148.54 * [ วันที่ 2004-08-20 14:51:48 ]