: : : รายละเอียดข่าว : : :

ข่าว ปีที่ :ข่าวปีที่ 4 ฉบับที่ 06 ประจำเดือน 06 2544
หัวข้อข่าว : คำกล่าวของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) ในการประชุมชี้แจงนโยบายของรัฐบาลฯ (ต่อ)
รายละเอียด :
ทุกกระทรวงแก้ไขปัญหาร่วมกัน

         ผมเรียนไว้ว่าโลกใหม่การมีส่วนร่วมสำคัญ  ผมจะทลายกำแพงอย่างไรของการกั้นความสามารถของการบริหารระหว่างกระทรวง  

กั้นการบริหารระหว่างกรมอย่างไร  จะมีสัมมนาเชิงวิชาการเรื่องใหญ่  เรื่องที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันหลายกระทรวง  เรื่องที่ต้องอาศัยความ

เกี่ยวพันกับภาคเอกชน  ตรงนี้ผมจะทำเป็นสัมมนาเชิงวิชาการครั้งแรกที่ทำแล้วที่ชะอำ  เรื่องบรรษัทบริหารทรัพย์สินแห่งชาติ  บางครั้งหลังจาก

ที่เอาไปประชุมกันแล้วอาจแตกต่างกันบ้าง  ผมก็ขอเรียกกรรมการที่ผมตั้งมาคุยซักซ้อมกันอีกรอบก่อนจะไปอีกแห่งหนึ่ง  เราประชุมสัมมนาเชิงวิชา

การ  ผมนั่งเป็นประธาน  ผมอยู่ตลอด  ตีปัญหาที่คั่งค้างมานานให้จบภายในสุดสัปดาห์ให้ได้  เพราะฉะนั้นทุกท่านที่ถูกเชิญไปขอให้ทำการบ้าน  

เราจะคุยกันได้เร็ว  ผมจะทำการบ้านของผม  เมื่อผมทำการบ้าน  ท่านทำการบ้าน  ไปถึงคุยกันเดี๋ยวเดียวก็จบ  เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนติดเกรงใจกันบ้าง

อะไรบ้าง  และสัมมนาเชิงวิชาการอันนี้จะเกิดขึ้นในหลาย  ๆ  เรื่องเท่าที่ผมคิดได้วันนี้คือเรื่องของยาเสพติด  วันเสาร์ - อาทิตย์หน้าและเรื่องของ

การท่องเที่ยว  ต่อไปก็อาจจะมีเรื่องอื่น  เรื่องราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ  หรือเรื่องภัยแล้ง  เรื่องน้ำ  แต่ฝากให้ท่านรัฐมนตรี  ท่านปลัดกระทรวงทั้ง

หลาย  ไปช่วยคิดว่าท่านมีเรื่องอะไรสำคัญที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานที่ในอดีตแก้ไม่จบ  ท่านลองคิดแล้วเสนอมา  แล้วเราไปทำสัมมนาเชิงวิชา

การร่วมกันอย่างนี้  เพื่อให้งานเดินได้เร็วขึ้นไม่ใช่เป็นคณะรัฐมนตรีสัญจร  แต่เป็นการประยุกต์ในการทำงานเพื่อไปทำในพื้นที่ที่เป็นปัญหาจริง  ๆ  

อย่างน้อยก็คือโดยจิตวิทยาแล้วถือว่าเราได้มีความตั้งใจในการจะเจาะปัญหานั้นจริง  ๆ  แล้วเราจะได้แก้ปัญหานั้นอย่างจริงจังร่วมกัน  เพื่อจะได้แก้

ปัญหาได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

         เรื่องยาเสพติดเราก็ไปเชียงราย  ท่องเที่ยวเราก็ไปเชียงใหม่  เรื่องปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำก็อาจจะไปอีสาน  เราก็ต้องทำงาน

อย่างนั้น  ฉะนั้นเรื่องของสัมมนาเชิงวิชาการ  ขอให้เอาคนไปน้อยหน่อย  เอาที่เกี่ยวข้องที่ไม่เกี่ยวข้องก็อย่าเอาไป  หัวหน้าส่วนราชการก็พยายาม

ทำการบ้านเยอะ  ๆ  และมีผู้ช่วยสัก  1 - 2  คน  เพื่อจะได้ช่วยกัน

ร่วมกันใช้ของไทย

         ผมอาจปรับโครงสร้างกระทรวง  กรม  ที่ล้าสมัย  เรามาช่วยกันคิด  เราไม่ได้เกษียณอายุ  100  ปี  รัฐบาลไม่ได้อยู่  20  ปี  ดังนั้น

วันนี้เมื่อเรามีโอกาสทำงานร่วมกันแล้ว  เราต้องคิดถึงคนรุ่นหลังว่าโครงสร้างที่มีอยู่ไม่รองรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกของความต้องการและ

ปัญหาของประชาชน  เราต้องเปลี่ยนวันก่อน

         ท่านปลอดประสพฯ  เจอกับผมคุยกันว่าเรื่องทรัพยากรกับเรื่องสิ่งแวดล้อมคิดกันคนละมุม  ทรัพยากรคิดในเชิงปริมาณ  ส่วนเรื่อง

สิ่งแวดล้อมคิดในเรื่องคุณภาพ  และอยู่กันคนละฟากพูดกันไม่รู้เรื่องและมีเรื่องกันตลอด  เป็นไปได้ไหมที่จะตั้งกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม  

เพื่อให้ปริมาณและคุณภาพมาเจอกัน  ให้มารู้จักคำว่าทางสายกลางคืออะไร  ฉะนั้นเราต้องมาปรับสิ่งที่มีอยู่ให้ทันสมัยรองรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงของ

โลก  เราต้องประหยัด  ต้องใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งด้านของสิ่งที่รัฐบาลลงทุนไปแล้วกับภูมิปัญญาของเราเองที่มีอยู่  ต้องใช้

อย่างเต็มที่  อย่างวันที่เกิดวิกฤตถ้าเราไม่ใช้สิ่งที่มีอยู่กลับไปลงทุนใหม่และลงทุนแบบชนิดที่ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไร  อันตรายที่ผ่านมาสิ่งหนึ่ง

ที่เราห่วงกันมากและวันนี้ต้องเตือนกันและขอร้องกันคือการนำเข้า  เรานำเข้าอย่างเผลอนึกว่ารวยแล้ว  การจัดซื้อจัดหาภาครัฐก็นำเข้ากันใหญ่  เรา

เห็นหรือยังว่าตัวเลขส่งออกเริ่มชะลอทางเศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอแล้ว  เรายังนำเข้ากันเพลินอย่างนี้จะเกิดผลเสีย  เงินบาทก็อยู่ไม่ได้  หมดความ

เชื่อถือ  วันนี้ผมได้มอบหมายนโยบายให้ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณไปและฝากท่านด้วย

         เราจะกระตุกแล้วการจัดซื้อจัดหาที่มีการนำเข้าถ้าไม่จำเป็น  ถ้าสามารถชดเชยสินค้าที่ผลิตในประเทศได้ต้องให้รีบ  ถือเป็นความ

สำคัญก่อนหลัง  ไม่ได้ต่อต้าน  แต่วันนี้ต้องเอาตัวรอด  ไม่ได้ต่อต้านสินค้าต่างประเทศ  แต่เราถือว่าของไทยเรามีดีมาก

         ถ้าข้าราชการไม่ใช้ของไทยแล้วใครจะใช้  เพราะฉะนั้นส่วนราชการในการจัดซื้อจัดหาแน่นอนเราต้องใช้ของไทย  แต่ถ้าจำเป็นต้อง

ซื้อเครื่องบินถ้าไม่มีของไทย  อันนี้ต้องนำเข้าช่วยไม่ได้  ถ้าจำเป็นต้องนำเข้าก็ต้องนำเข้า  พระพุทธเจ้าก็สอนแล้วว่าเดินทางสายกลางคืออะไร  เรา

ก็ต้องรู้ว่าความพอดีอยู่ตรงไหน  แต่วันนี้เราต้องตื่นตัวเรื่องของการนำเข้าเพราะว่าเราขาดดุลการค้ามาก  ตอนนี้จะขาดดุลการค้าอีกไม่ได้ต้อง

ประคองในช่วงวิกฤตตรงนี้ไม่ให้ขาดดุลการค้า  แล้วประเทศจะกลับฟื้นตัวมาเร็ว  แต่ถ้ายังขืนขาดดุลส่งสัญญาณมาแล้วเดือนมกราคม  เริ่มอันตราย  

280  กว่าล้านเหรียญ  จากที่ชื่นชมกับส่วนเกินถึง  1000  ล้านเหรียญ  กลายเป็นขาดดุล  280  กว่าล้านเหรียญ  อันนี้เหนื่อยและแถมยังเห็นการชะลอ

ตัวของเศรษฐกิจโลกอีก  เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องฝากท่านว่างบประมาณปีหน้าเรื่องวิธีการจัดหาอะไรที่ใช้สินค้าไทยได้ต้องทำ  โดยเฉพาะภาครัฐ

วิสาหกิจที่ผ่านมาเพลินไปหน่อยและขอเรียนว่าอย่าเสนอโครงการให้รัฐมนตรีหาเงิน  รัฐมนตรีชุดนี้ไม่เอา  ขอเสนอโครงการที่สร้างเศรษฐกิจใน

ประเทศจริง  ๆ  เราจะทบทวนวิธีการงบประมาณ  สำคัญคือต้องตอบสนองต่อวิสัยทัศน์และนโยบาย  ไม่ใช่งบประมาณประจำปีที่แล้วตั้งเท่าไร  

ปีนี้นโยบายบอกว่าให้เพิ่ม  5  ก็บวก  5  ขอให้คิดใหม่ทุกปี  อย่าอ้างอิงของเก่าจนมากเกินไป  ของเก่าใช้อิงในเชิงของงบประจำได้  แต่งบโครงการ

ต้องคิดใหม่ทุกปีเพื่อตอบสนองนโยบาย  สนองวิสัยทัศน์ของรัฐบาล  ถ้าไม่เช่นนั้นเราก็จะตั้งงบประมาณแบบประจำ  อีกเรื่องที่ต้องฝากผู้อำนวยการ

สำนักงบประมาณอาจจะชี้แจงเพิ่มเติมภายหลังก็ได้  ขณะนี้มีงบประมาณอยู่ประมาณ  3  หมื่นกว่าล้านบาท  เป็นงบกระจายอำนาจที่ต้องกระจายให้

ท้องถิ่น  ยังอยู่ที่จังหวัดและอยู่ที่กรมรวมกันประมาณ  3  หมื่นกว่าล้านบาท  รีบปล่อยออกไปเพื่อจะกระตุ้นเศรษฐกิจชนบท  เพราะเป็นงบประมาณ

ที่ส่วนท้องถิ่นจะต้องทำงาน  ต้องตามไล่จี้กันหน่อยอย่าเก็บไว้  ตอนนี้สินค้าเกษตรตกต่ำ  เพราะกำลังซื้อในชนบทไม่มีเหลือแล้ว  งบประมาณที่ตัด

ราคากลางลง  10 %  งบฯ  เบี้ยหัวแตกที่อยู่ตามต่างจังหวัดนั้นไม่ต้องนำส่งส่วนกลาง  แต่ขอให้เอาไปใช้ในชนบทเช่น  งบฯ  ประมูลงานสร้างถนน  

30  ล้านบาท  ตัด  10 %  เหลือ  3  ล้านบาท  3  ล้านบาทนั้นแทนที่จะเอากลับ  ก็ขอให้เอาไปจ้างงานในชนบทต่อ  ให้ท้องถิ่นนี้เขาทำต่อไป  ซึ่งงบฯ  

เล็ก  ๆ  น้อย  ๆ  อย่างนี้มีมาก  รวมกันแล้วประมาณ  2  พันล้านบาท

ข้าราชการปฏิบัติตามนโยบายทางการเมือง

         อีกอันหนึ่งที่ผมอยากจะเรียนว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของบทบาทระหว่างรัฐบาลกับข้าราชการ  เมื่อก่อนนี้เราเอาบทบาทของเสนาบดี

มามอบให้รัฐมนตรีในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง  แล้วรัฐมนตรีในอดีตก็ทำตามกันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน  บทบาทนั้นก็คือบทบาทเรื่องของ

คน  เรื่องของเงิน  เรื่องของอำนาจ  ภาคราชการก็เลยกลายเป็นคนเขียนนโยบายแทนภาคการเมือง  ต่อไปนี้นโยบายภาคการเมืองเป็นคนทำ  ภาค

ข้าราชการมีหน้าที่ปฏิบัติ  เพราะฉะนั้นภาคการเมืองก็พยายามอย่าไปแย่งงานข้าราชการประจำทำ  ข้าราชการประจำบทบาทต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน  

ถ้าไม่เช่นนั้นนักการเมืองคนไหนก็มาเป็นรัฐมนตรีได้เพราะอะไรไปถึงก็เซ็นแฟ้มตามที่ข้าราชการเสนอมา  เป้าหมายที่จะตอบสนองประชาชนไม่ใช่

นโยบายในการอยากได้อย่างนี้จะเอาอย่างนี้  เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ภาคการเมืองจะต้องคิดนโยบาย  เพราะภาคการเมืองจะต้องตอบสนองต่อประชาชน

มากที่สุดคือ  เรามีประชาชนเป็นตัวตั้ง  ภาคการเมืองต้องตอบสนองต่อการแก้ปัญหากับประชาชน  ประชาชนเป็นตัวสะท้อนกลับมาที่ภาคการเมือง  

ส่วนภาคข้าราชการต้องทำงานบริการประชาชน  และขณะเดียวกันก็ต้องทำงานตามนโยบายของรัฐบาล  บทบาทตรงนี้ต้องปรับเข้าสู่จุดที่ผมอธิบาย

ให้ฟัง  เพราะถ้ารัฐมนตรีไม่สนใจเรื่องนโยบายประเทศเลยไม่มีทิศทาง  ดังนั้นต่อไปนี้ทิศทางประเทศต้องนำด้วยนโยบาย  และเราคิดร่วมกันทำร่วม

กันตั้งแต่ภาคประชาชน  ภาคราชการ  ภาคการเมือง  คิดร่วมกันทำร่วมกัน  แล้วต้องชี้นำด้วยนโยบายไม่ใช่ชี้นำด้วยความรู้สึกต่อไปแล้ว  อยู่  ๆ  ก็สั่ง

การไป  เป็นความรู้สึก  ประเทศไม่ได้มีทิศทางเลยไม่รู้จะพาประเทศไปทางไหน  ข้าราชการก็ไม่เข้าใจ  ฉะนั้นต่อไปนี้การเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน

ต้องเกิดขึ้น  อาจจะมีลองผิดลองถูกบ้างก็ต้องยอมรับ  เพื่อให้ขับเคลื่อนไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารประเทศ  วิธีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ  

ภารกิจหลักปัจจุบันของรัฐบาลก็คือเรื่องเศรษฐกิจ  เพราะเราเพิ่มเกิดวิกฤติและยังไม่พ้นดี  วิธีการก็คงต้องต่างกัน  เพราะเรามีสังคมที่ต่างกัน  2  

สังคมคือ  สังคมเมืองกับสังคมชนบท  เราเป็น  1  ประเทศ  2  ระบบ  2  สังคม  อย่าไปคิดว่าทฤษฎีเดียวใช้ทั้งหมด  เพราะอาการของโรคก็ไม่

เหมือนกัน  คนเราป่วยเป็นโรค  5  อย่าง  นึกว่ายาเม็ดเดียวรักษาหายทั้ง  5  โรค  ไม่หายหรอก  เพราะฉะนั้นวิธีการแก้ปัญหาต้องใช้วิธีการที่ต่างกัน  

เพราะสังคม  ความต้องการ  ความเดือดร้อน  ความทนต่อสภาพปัญหาก็ต่างกัน  ถ้าเราคิดจะแก้ปัญหาแล้ว  เราต้องเข้าใจความแตกต่างของสังคม  

2  สังคมนี้  ขอให้ท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางมหาดไทย  เน้นสังคมชนบทอยู่แล้ว  กระทรวงการคลังก็คงต้องมองเรื่องของปัญหาเมืองมากพอ

สมควรเหมือนกัน  อย่างวันนี้จริง  ๆ  แล้วถามว่าเราพังเพราะระบบอะไร  เพราะระบบกระดาษ  เราโดนกระดาษตีกระดาษจนพังไปหมดเกี่ยวข้าว

ทั้งหมดคนไทยไม่กินสักเม็ด  ส่งออก  เมืองนอกก็ยังไม่พอใช้หนี้  เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเอากระดาษสู้กระดาษบ้างเหมือนกัน  ส่วนข้าวก็ทำไปปลูก

ไป  เพราะฉะนั้นสรุปแล้วสังคมเมืองก็ต้องส่งเสริมให้เข้มแข็ง  สังคมชนบทก็แก้ปัญหาให้เขารอด  เพราะโลกยุคใหม่เป็นโลกของคำว่าความเชื่อถือ

แก้ปัญหาแบบแบ่งประเภท

         เมื่อเกิดความเชื่อถือก็สามารถทำกระดาษเป็นเงินได้มาก  เมื่อทำกระดาษเป็นเงินก็เอากระดาษสู้กับกระดาษบ้าง  เราต้องพัฒนาเครื่อง

มือต่าง  ๆ  มาสู้กันบ้าง  เพราะฉะนั้นเราต้องดูว่าเรามีสินทรัพย์อะไรที่จะเกิดเครื่องมือดี  ๆ  เรื่องนี้อาจจะซับซ้อนหลายท่านที่ไม่ได้อยู่ในโลกซีกของ

การเงินการคลังซีกของธุรกิจจะไม่เข้าใจ  แต่ผมพูดกว้าง  ๆ  ให้รู้ว่าวิธีการแก้ปัญหากับกลุ่มเป้าหมาย  ปัญหานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มเหมือนกันไม่

จำเป็นต้องใช้ทฤษฎีเดียวกัน  เหมือนกับที่ผมบอกกับกลุ่มที่พยายามไปปรับโครงสร้างหนี้  ผมบอกว่าเราปรับโครงสร้างด้วยการใช้กติกาเดียวกันทั้ง

ระบบไม่ได้  เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับ  ปรส.  คนมีตึกสองตึกอยู่ติดกัน  ตึกหนึ่งกู้ธนาคารไม่ล้มเหลวต้องจ่ายดอกเบี้ยทุกบาท  อีกตึกหนึ่งไปกู้ไฟแนนซ์

เสร็จแล้วขายทอดตลาดได้คืน  ไปซื้อหนี้กลับคืนมาได้  25 - 30 %  ต้นทุนผิดกันแล้วเก็บค่าเช่าที่ต่างกัน  ตึกที่อยู่ข้างกันกู้แบงก์จ่ายดอกเบี้ย 100%  

ก็สู้ไม่ได้  สู้ไม่ได้ก็กลายเป็นเอ็นพีแอลกับแบงก์ต่อ  ถ้าขืนปรับโครงสร้างหนี้แบบนี้รับรองงูกินหางไม่มีจบ  ผมเลยบอกว่าแบ่งธุรกิจทุกประเภทใน

ประเภทเดียวกัน  ใช้มาตรฐานเดียวกันต่างประเภทอาจจะต่างมาตรฐาน  เป็นไปตามความต้องการของประเภทที่จะต้องการการจ้างงานจาก

อุตสาหกรรมนั้น  ธุรกิจนั้นหรือความจำเป็นที่ต้องการจะมีธุรกิจนั้นให้เข้มแข็งในการที่จะแข่งขันกับเขา  นั่นคือต้องแบ่งกลุ่มของหนี้ออกมาตาม

ประเภทธุรกิจประเภทอุตสาหกรรม  แล้วค่อยมาบริหารในประเภทเดียวกันด้วยกติกาเดียวกัน  ถ้าเราบริหารด้วยกติกาที่ต่างกันในธุรกิจเดียวกัน  

เพราะต่างแบงก์หรือต่างสถาบันการเงิน  ต่างคนจัดการบริหารสินทรัพย์จะล้มเหลว  เพราะฉะนั้นรายละเอียดเหล่านี้ต้องคิด  ผมอยากซักซ้อมให้

เข้าใจกันก่อน  เพราะวันแรกถ้าเข้าใจกันก่อนแล้วต่อไปจะทำงานด้วยกันง่ายขึ้น

นโยบายพักหนี้เกษตรกร

         นโยบายหลัก  9  ข้อกับนโยบายเสริมมีดังนี้

         1.  นโยบายพักหนี้เกษตรกร  การปรับโครงสร้างหนี้ภาคเอกชน  เราทำกันหมดเงินเป็นแสน  ๆ  ล้านบาท  เราทำกันเพราะเราบอกว่า

มันจำเป็นมันวิกฤต  แต่เราลืมไปว่าประชาชนก็วิกฤต  เกษตรกรก็คือนักธุรกิจเพราะลงทุนปลูกและขาย  แต่โชคร้ายเพราะไม่สามารถกำหนดราคา

สินค้าได้เหมือนธุรกิจ  ก็เลยขาดทุนเราให้เขารองรับปัญหามานานตั้งแต่แผน  1  ปี  2500  เราเก็บพรีเมี่ยมส่งออกสินค้าเกษตร  เพื่อนำเงินเหล่า

นั้นมาสร้างถนนสร้างไฟฟ้า  เราต้องไปขายต่างประเทศ  ถ้าราคาต่างประเทศขายได้  100  บาท  ถ้าเราเก็บพรีเมี่ยม  20  บาท  พ่อค้ากำไรอีก  

20  บาท  ราคาก็เหลือ  60  บาท  ถ้าเราไม่เก็บพรีเมี่ยมราคาก็เป็น  80  บาท  แต่เราเก็บพรีเมี่ยมนั่นคือ  เกษตรกรรุ่นแรกรับปัญหามาแล้ว  พอมา

แผน  3  แผน  4  เงินเฟ้อครับ  เราก็คุมเงินเฟ้อด้วยการคุมราคาเครื่องอุปโภคบริโภค  ก็ว่ากันเรื่องสินค้าเกษตร  ผักเท่าไร  หมูเท่าไร  วันนี้วิกฤต

เขาต้องรับภาระ  เมื่อเขารับภาระเราต้องคิดว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไรในการที่จะให้คนเหล่านี้ได้ขึ้นมาแข็งแรงอีกที  ก็ต้องปรับโครงสร้างหนี้เขา

คือเปลี่ยนหนี้ระยะสั้นเป็นหนี้ระยะกลางคือ  อีก  3  ปีค่อยใช้  ระหว่างนี้ลำบาก  เพราะเราเห็นแล้วว่าอีก  3  ปีข้างหน้ายังไม่สบายเท่าไร  เราก็รับ

ภาระ  รัฐบาลเปรียบเสมือนพ่อแม่เมื่อลูกป่วยก็ต้องยอมรับ  พ่อแม่ยอมอดทนเพราะต้องหาเงินมารักษาลูก  เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็ต้องรับภาระดอกเบี้ย

ให้  3  ปี  อันนี้เฉพาะรายย่อย  เขาจนจริง  ๆ  ถ้าเขาไม่จนเขามีเงินมากกว่านี้ก็เป็นรายใหญ่  นั่นคือวิธีคิด

นโยบายเรื่องกองทุนหมู่บ้าน

         2.  เรื่องกองทุนหมู่บ้านนั้น  วิธีคิดก็มาจากระบบทุนนิยม  ใครเข้าหาแหล่งทุนได้คนนั้นได้เปรียบ  วันนี้ใครมีเครดิตอยากได้เงินสัก

หมื่นล้านบาท  แบงก็รีบให้เลยเพราะแบงก์เงินเหลือ  ดอกเบี้ยให้ถูกด้วยดีไม่ดีต่อรองช่วยเอาไปหน่อย  ดอกเบี้ยที่บอกว่าเอ็มแอลอาร์เท่าไร  7.5 %  

เอาน่า  5 %  ก็เอา  เอาไปหมื่นล้านบาทเอาไปเลย  ส่วนอีกคนหนึ่งเอาที่ดินไปจำนองไม่ได้  ไม่มี  ผมกลัวคุณล้มนี่คือความเป็นจริง  แต่ชาวบ้านไม่มี

แม้กระทั่งจะจำนอง  ไม่มีแม้กระทั่งจะผูกเนคไทไปแบงก์ใส่รองเท้าแตะไปแบงก์  แล้วจะไปกู้ที่ไหน  เอาอะไรจำนองก็ไม่มี  หน้าตาก็ทำนามาผิว

กร้านผิวดำ  รูปร่างลักษณะไม่ดีแบงก์ก็ไม่ปล่อย  ปล่อยตามรูปร่างลักษณะก็ไม่ปล่อย  ปล่อยตามสินทรัพย์ก็ไม่ปล่อยอยู่ได้อย่างไร  เมื่อเขาอยู่ไม่ได้

เราต้องเอาทุนไปหาเขา  เอาทุนไปไว้ในชุมชนเพื่อให้เขามีโอกาสเอาเงินเหล่านี้มาเลี้ยงชีพเขา  ในยามวิกฤตอย่างนี้ถ้าเราแจกฟรีรับรองระบบเสีย

หมด  แต่นี่เอาไปให้เขากู้ยืมในดอกเบี้ยต่ำ  ๆ  เพื่อให้แต่ละหมู่บ้านมีกองทุนอยู่ในนั้นเราจะได้กู้ไปประกอบอาชีพมีรายได้เสริม  ไปแปรรูปสินค้า

เกษตรบ้าง  กู้ไปทอผ้าไปทำหัตถกรรมที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายสอนมาบ้าง  เขาจะได้มีรายได้นี่คือวัตถุประสงค์ของการทำกองทุนหมู่บ้านที่เป็นกองทุน

ที่ได้รับการเห็นชอบแล้ว  นั่นคือวิธีการคิดด้วยระบบทุนนิยมสมัยใหม่  ไม่ได้คิดว่าจะเป็นนโยบาย.



                                                                                                ******************



โดย : 192.168.128.10 * [ วันที่ 2002-10-12 15:38:01 ]