: : : รายละเอียดข่าว : : :

ข่าว ปีที่ :ข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 06 ประจำเดือน 08 2537
หัวข้อข่าว : 20 ปี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
รายละเอียด :
                    ในโอกาสที่คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  มีอายุครบ  20  ปี  ในปี  2537

ข่าวศรีตรังขอนำบทสัมภาษณ์  ผศ. มะเนาะ  ยูเด็น  คณบดีคนแรกและคนปัจจุบันของคณะ  ซึ่งดำรงตำแหน่งคณบดีมาถึง  4  

สมัย  รวม  16  ปี  มาพูดคุยเล่าถึงความเป็นมาเป็นไปของคณะฯ  ดังนี้

         ข่าวศรีตรัง          :  ขอทราบความเป็นมาของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

         คณบดี          :  "โครงการจัดตั้งคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  มีมาตั้งแต่ปี  2516  โดยในระยะแรก

ได้ร่างโครงการจัดตั้งชื่อว่า  คณะมานุษยศาสตร์  แต่ทางทบวงให้ใช้ชื่อว่าคณะมนุษยศาสตร์และนำโครงการจัดตั้งคณะ

สังคมศาสตร์มารวมกัน  จึงใช้ชื่อว่าคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  โดยผมเองเป็นประธานคณะกรรมการจัดตั้งฯ  ตั้ง

แต่ปี  2516  หลังจากได้รับการอนุมัติให้จัดตั้งคณะฯ  เมื่อวันที่  23  เมษายน  2517  ก็ได้รับมอบหมายจากเพื่อนร่วมงาน

ให้เป็นคณบดีสมัยที่  1  และสมัยที่  2  ติดต่อกัน  2  สมัย  ตั้งแต่ปี  2517 - 2521  และ  2521 - 2525  และสมัยที่  4  

และ  5  ปี  2529 - 2533  และ  2533 - 2537  รวม  16  ปี  เมื่อเริ่มจัดตั้งคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  ได้แยก

สาขาวิชาภาษาไทย  ภาษาตะวันตก  และสังคมศาสตร์  มาจากคณะศึกษาศาสตร์  จนปัจจุบันคณะประกอบด้วย  7  ภาควิชา

คือ  ภาควิชาภาษาไทย  ภาควิชาภาษาตะวันตก  ภาควิชาสังคมศาสตร์  ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์  ภาควิชาปรัชญาและ

ศาสนา  ภาควิชาภาษาตะวันออก  และภาควิชาประวัติศาสตร์และศิลปะ  และมีโครงการจัดตั้งภาควิชาภูมิศาสตร์"

         ข่าวศรีตรัง          :  ขอทราบความภาคภูมิใจในผลงานของคณะฯ

         คณบดี          :  ความภาคภูมิใจก็คือ  การเปิดวิชาเอกพัฒนาสังคม  ซึ่งยังไม่มีที่ไหนทำกัน  อาจจะมีก็แต่

พัฒนาชนบทหรือพัฒนาชุมชน  ซึ่งความหมายก็แคบเป็นส่วนเล็ก  ๆ  แต่การพัฒนาสังคมเป็นการพัฒนาทุกด้าน  ทั้งด้าน

สิ่งแวดล้อมและบุคคลที่เป็นสมาชิกของสังคม"

         "ปัจจุบันคณะฯ  ผลิตบัณฑิตใน  16  สาขาวิชาเอก  เป็นวิชาเอกทางภาษาถึง  10  ภาษา  และการที่เรามีวิชา

เอกทางภาษาเช่น  ภาษาจีน  ภาษาอาหรับ  และภาษามลายู  ซึ่งเป็นของใหม่ที่ไม่มีในสถาบันใดในประเทศไทยเป็นสิ่งที่น่า

ภาคภูมิใจ  โดยเฉพาะวิชาเอกภาษาจีน  ของเราประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก  โดยเปิดเป็นวิชาเอกมาตั้งแต่ปี  2523  

เป็นต้นมา  ปัจจุบันผลิตบัณฑิตเป็นรุ่นที่  15  แล้ว  บัณฑิตของเราเป็นผู้มีคุณสมบัติทางภาษาจีนทั้งในวงราชการและภาค

ธุรกิจเอกชนที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก  ส่วนวิชาภาษาอาหรับเราเพิ่งเริ่มเปิดเป็นวิชาเอก  คิดว่าต่อไปคงประสบ

ความสำเร็จเช่นเดียวกับภาษาจีน  เพราะเดิมความเข้าใจของคนทั่วไปมักมองกันว่า  เรียนวิชาภาษาอาหรับเพื่อศาสนาอิสลาม  

หรือเพื่อวัฒนธรรมของตะวันออกกลาง  แต่ความเป็นจริงแล้ว  ปัจจุบันประเทศไทยต้องการผู้รู้ภาษาอาหรับในธุรกิจการ

ท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก  สำหรับสาขาวิชาใหม่  แต่ยังไม่เป็นวิชาเอกคือวิชาภาษาเกาหลี  ซึ่งเราเปิดสอนเป็นแห่งแรกของ

ประเทศ  โดยมีอาจารย์ชาวเกาหลีมาช่วยสอน"

         ข่าวศรีตรัง           :  ขอทราบแผนงานต่อไปของคณะ

         คณบดี          :  งานแรกที่เร่งด่วนคือ  การพยายามแยกคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  ออกเป็น  2  คณะ

คือแยกคณะสังคมศาสตร์ออกมา  แต่ก็ไม่ทราบว่าจะได้รับการสนับสนุนแค่ไหน  ความจริงแล้วการแยกคณะก็ไม่ได้ทำให้ต้อง

เสียงบประมาณมากหรือเป็นภาระแก่รัฐบาลมากนัก  แต่ก็จะทำให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงานทั้ง  2  คณะมากขึ้น  

ตัวอย่างเช่น  ภาควิชาภูมิศาสตร์  จะเป็นภาควิชาที่มีลักษณะทางวิทยาศาสตร์กายภาพ  จะต้องใช้งบประมาณทางห้องแล็ป

และเครื่องไม้เครื่องมือมาก  ในปัจจุบันภาควิชาภูมิศาสตร์จะดึงงบประมาณไปมาก  ทำให้ภาคอื่นไม่สามารถจัดกิจกรรม

ทางการเรียนการสอนได้อย่างเต็มที่  แต่ถ้าทางคณะของบประมาณเพิ่ม  เขาก็มองว่าคณะไม่มีความจำเป็นต้องมีเครื่องไม้

เครื่องมือหรือห้องแล็ป  จึงทำให้เกิดความลำบากใจ  ทั้งที่วิชาทางภูมิศาสตร์มีความจำเป็นสำหรับประเทศไทย  เพราะ

ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม  ภูมิศาสตร์กายภาพจึงนับว่าเป็นกระดูกสันหลังของวิชาทางด้านการเกษตร  เช่น

เดียวกับที่ชีววิทยาเป็นพื้นฐานทางแพทย์และโลหะวิทยาเป็นวิชาหลักทางวิศวกรรมศาสตร์"

         "หลังจากแยกคณะสังคมศาสตร์ออกมาเป็นคณะใหม่  ก็จะสามารถนำสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์ที่อยู่ใน

คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ออกมา  ซึ่งได้แก่  รัฐศาสตร์  พัฒนาสังคม  สังคมวิทยา  มานุษยวิทยา  ภูมิศาสตร์  

และสามารถเพิ่มกลุ่มวิชาทางเศรษฐศาสตร์ขึ้น

         นอกจากนี้คณะยังมีโครงการขยายฐานะวิชาภาษาญี่ปุ่น  ภาษาอาหรับ  ภาษามลายู  ให้เพิ่มความสำคัญมาก

ขึ้นเป็นการเร่งด่วน  เพื่อรองรับโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ"

         ข่าวศรีตรัง          :  ในโอกาสครบรอบ  20  ปี  คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  คณะฯ  ได้จัดกิจกรรม

เฉลิมฉลองอะไรขึ้นมาบ้าง

         คณบดี          :  "โอกาสที่คณะมีอายุครบ  20  ปี  ในสังคมไทยถือว่าบรรลุนิติภาวะ  ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชน  

ก็บวชได้แล้ว  เราก็มีกิจกรรมเฉลิมฉลองหลายอย่างทั้งที่เป็นกิจกรรมที่เป็นวิชาการ  กิจกรรมเพื่อสังคม  และการหาทุนเพื่อ

พัฒนาสนับสนุนงานทางวิชาการ"

         "ทางด้านสังคมเรามีงานคืนสู่เหย้าให้กับบัณฑิตของคณะที่จบไปแล้วประมาณ  2,500  คน  เพื่อให้ผู้ที่จบ

ไปได้มาเห็นความก้าวหน้าของคณะ  คณะก็จะได้ทราบความก้าวหน้าของบัณฑิต  และจะได้ช่วยกันทำให้กิจกรรมของทั้ง

สองฝ่ายพัฒนาด้วยดีขึ้น  ทั้งนี้กำหนดจัดงานคืนสู่เหย้า  ในวันที่  5  พฤศจิกายน  2537"

         "ส่วนกิจกรรมทางวิชาการ  คณะได้จัดกิจกรรมมาตลอดตั้งแต่ต้นปีมาแล้วได้แก่  การสัมมนาทางวิชาการเกี่ยว

กับการเมืองการปกครองของหัวเมืองภาคใต้ของภาควิชาประวัติศาสตร์  และจะจัดสัมมนาเกี่ยวกับคนเชื้อสายจีนที่เข้ามาตั้ง

รกรากและประสบความสำเร็จในจังหวัดภาคใต้  นอกจากนี้ก็มีนิทรรศการของภาควิชาต่าง  ๆ  การจัดพิมพ์หนังสือที่ระลึก

จัดทำประวัติและผลงานของบุคลากร  และผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์ของคณะไว้เป็นที่ระลึก"

         "งานที่สำคัญก็คือ  การจัดกิจกรรมหารายได้เพื่อจัดตั้งเป็นมูลนิธิ  โดยจะจัดรายการทางสถานีโทรทัศน์  ช่อง  9

ในวันที่  11  พฤศจิกายน  2537  เวลา  21.00  น.  ใช้เวลาประมาณ  1  ชั่วโมงครึ่ง  ทั้งนี้โดยได้รับความเมตตาจาก  ฯพณฯ

พลเอกเปรม  ติณสูลานนท์  องคมนตรีและรัฐบุรุษ  ในการสนับสนุนกิจกรรมครั้งนี้  นอกจากนี้คณะก็มีกิจกรรมรายการทาง

โทรทัศน์ในลักษณะเดียวกันนี้แพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์  ช่อง  10  หาดใหญ่  ในวันที่  20  ตุลาคม  2537  เวลา  12.00 -

13.30  น.  ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาทุนอย่างเดียว  แต่ที่สำคัญก็เพื่อให้ผู้ชมและผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องการศึกษาได้เห็นความ

สำคัญของการศึกษาทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  เพราะในสังคมไทยเรารู้สึกว่าผู้รับผิดชอบในระดับต่าง  ๆ  ไม่ว่า

รัฐบาล  ทบวง  หรือมหาวิทยาลัย  อาจจะมองเห็นว่าการศึกษาทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  มีความสำคัญน้อยกว่า

การศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ทั้งที่จริง  ๆ  แล้ว  การศึกษาทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  มีผลต่อตัว

บุคคลและสังคมชัดเจน  เพราะการที่คนจะดีจะเลวจะมีจริยธรรมหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการศึกษาทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคม

ศาสตร์  ส่วนการศึกษาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเท่านั้นเอง"

         "สำหรับการจัดตั้งมูลนิธิในโอกาสที่คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มีอายุครบ  20  ปี  ก็มีวัตถุประสงค์  

4  ประการคือ  1.  สนับสนุนด้านการเรียนในคณะ  2.  เป็นทุนสำหรับนักศึกษาทั้งที่เรียนดีและที่ขาดแคลน  3.  สนับสนุน

บุคลากรในด้านการศึกษาและการวิจัย  และประการที่  4   ก็เพื่อจัดกิจกรรมบริการวิชาการแก่สังคม  ทั้งนี้เนื่องจากเราเป็น

มหาวิทยาลัยในภูมิภาค  ที่สังคมนี้ยังขาดโอกาสหรือมีโอกาสน้อยกว่าทุกภูมิภาค  จึงจำเป็นต้องให้การบริการวิชาการแก่

สังคมค่อนข้างมาก"



                                                                              ******************





โดย : 203.154.179.21 * [ วันที่ 2001-05-04 17:54:53 ]